คนเก่งที่อยากเก่งขึ้นไปอีก
คนธรรมดาที่อยากเก่งกับเขาบ้าง
คนเก่งอยู่แล้วที่ต้องการรักษาความเก่งไว้จนอายุ 90
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ หัวหน้า ผู้บริหาร ฯลฯ
ใครก็ตามที่ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ต้องอ่าน!


หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2008 ภาษาไทยในปี 2014 ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น : ผู้เขียน Geoff Colvin

ผู้เขียนเริ่มด้วยการงัดหลักฐานต่างๆ มาบอกว่า สิ่งที่พวกเราพยายามเชื่อกันมาตลอด ว่าอัจฉริยะบุคคล คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด พระเจ้าประทานมา ฯลฯ เขาระบุว่า ไม่จริง!

งานวิจัยหลายต่อหลายชิ้นที่พยายามศึกษาเรื่องราวของพรสวรรค์ และอัจฉริยะ แสดงให้เห็นว่า ความเป็นอัจฉริยะไม่ใช่สิ่งที่ได้รับพรมาจากสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อหาเหตุผลปลอบใจตัวเองที่ตัวเราทำได้ไม่ดีเท่าเขามากกว่า

ก็คล้ายๆ กับหนังสือเกี่ยวกับสมองหลายเล่มอ่ะนะ ที่ว่าสมองสร้างได้...แต่สิ่งที่โดดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ การยกหลักฐานเชิงประจักษ์  ด้วยข้อสรุปจากงานวิจัยต่างๆ มาแสดงให้เห็น มากกว่าจะบอกลอยๆ มันทำให้ดูหนักแน่น น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  

เนื้อหาในเล่ม

บทที่ 1-2-3 จะชี้ให้เห็นว่า ต้นตอแท้จริงของความสำเร็จคืออะไร
เราเคยเข้าใจว่าอย่างไร สิ่งที่เราเข้าใจมีส่วนไหนที่เป็นจุดบอดบ้าง
สามบทนี้กระแทกเราให้กระอักกับข้อเท็จจริงที่ว่า อัจฉริยะที่เรารู้จักทั้งหลาย
ไม่ได้เป็นอัจฉริยะอย่างที่เราคิด อะไรซ่อนอยู่ในนั้น

บทที่ 4-5 ชี้ให้เห็นถึงมุมมองอีกมุม ผลงานวิจัย การทดลองของผู้ที่่ต้องการเอาชนะ
ข้อจำกัดทางพันธุกรรมที่เราเรียกว่า ระดับสติปัญญาและความสามารถในการจดจำ
และอธิบายว่า คนที่เป็นอัจฉริยะ เป็นคนธรรมดาที่ทุ่มเทให้กับการฝึกอย่างบ้าคลั่งต่างหาก
บ้าคลั่งอย่างไร?
ด้วยจำนวนชั่วโมงการฝึกที่เหนือกว่าคนอื่นๆ มาก ด้วยประเด็นที่เฉพาะเจาะจง
และมีการให้ผลป้อนกลับ (ชี้แนะ) อย่างชัดเจน ไม่ต่ำกว่า 10 ปี
(10 years rule - เฮอร์เบิร์ต ไซมอน & วิลเลียม เชส)
กว่าจะสร้างผลงานได้อย่างที่เราเห็น
สำหรับสาขาวิทยาศาสตร์หลังๆ ยิ่งต้องใช้เวลามากกว่านั้น

บทที่ 6 ตอบคำถามว่า แล้วเราจะประสบความสำเร็จอย่างเขาได้มั้ย?
คำตอบคือ ได้! แต่ต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างหนัก
ฝึก ฝึก และฝึก ซึ่งเรียกว่า การฝึกอย่างจดจ่อ (deliberately practice)
ที่คุณต้องเลือกแล้วว่าเส้นทางไหนที่คุณจะเดิน คนแบบไหนที่คุณจะเป็น
ทักษะแบบไหนที่คุณต้องทำเพิ่มเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น

บทที่ 7-8-9 เป็นแนวทางในการนำการฝึกอย่างจดจ่อมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน กับองค์กร
และในหลายๆ อุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมแบบไหนที่จะทำให้เกิดอัจฉริยะได้!

บทที่ 10 บอกว่าเราจะต้านทานความเสื่อมของสังขารและข้อจำกัดของร่างกายได้อย่างไร?
ทำไมจึงมีนักดนตรีที่สามารถคงความเก่งกาจได้จนถึงอายุ 80-90 ปี จริงๆ แล้วนิยามความเก่งของคนในแต่ละสาขาวิชาชีพคืออะไร

บทที่ 11 เป็นบทที่ตัดจบ! มากก เพราะคำถามที่ว่า อะไรเป็นแรงจูงใจในการทำให้คนเราทุ่มเทให้กับการฝึกอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น! สุดท้ายก็จบที่ "ความเชื่อ" (คือบทนี้เราว่าแป๊กไปนิดส์)

ว่าแล้วก็นึกถึงข้อเขียนของนิ้วกลมบทหนึ่งที่ชอบมากๆ

ภาพวาดที่เฝ้ารอ by นิ้วกลม

ที่รัก ฉันอยากช่วยวาดภาพภาพนั้น แต่ฉันทำไม่ได้
ฉันไม่มีสี ไม่มีพู่กัน ไม่มีความสามารถ 
หากฉันมีสิ่งเหล่านั้น ฉันจะยกมันทั้งหมดให้เธอ 
แต่เปล่าเลย เรื่องแบบนี้ไม่มีใครมอบให้กันได้ 
เราอาจร่วมเดินทางไปตามหาสีที่ดีที่สุด 
หากระดาษเนื้อดีที่ซึมซับสีอย่างที่เธอชอบ 
ตามหาพู่กันขนกระรอกที่จิตรกรชื่อดังใช้ปาดทา 
ฉันร่วมเดินทางออกตามหากับเธอได้เสมอ 
แต่ภาพที่เธอต้องการวาดนั้น ฉันไม่สามารถวาดให้ได้ 
กระทั่งจับมือวาด 
เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว ภาพนั้นย่อมมิใช่ภาพของเธอ 
ภาพของเธอ เธอต้องเป็นคนวาดมันขึ้นมาด้วยตนเอง 
จึงเป็นฝีมือของเธอ 
ฝีมือที่ไม่มีใครมอบให้กันได้ 
ที่รัก นั่นเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ทั้งหลายออกเดินทางเพื่อให้ได้มา 
ทั่วหล้า สูงเสียดฟ้า เจ็ดมหาสมุทร เพื่อตามหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 
ที่จอมยุทธ์ทั่วแดนร่ำลือกันว่า 
หากได้ฝึกเคล็ดวิชาตามคัมภีร์แล้วจะเก่งกล้าหาผู้ใดเทียบเทียมมิได้ 
จอมยุทธ์ออกเดินทางหาเพลงกระบี่ 
ผู้คนธรรมดาสามัญต่างออกเดินทางทุกวันเพื่อหาเคล็ดลับความเก่งกาจ 
ดูคล้ายคัมภีร์จะเป็นทางลัด 
ดูคล้ายว่ามันจะตัดตรง 
ข้ามเส้นทางคดเคี้ยวชวนคลื่นเหียน 
หุบเหวที่สามารถตกลงไปตาย 
ภูผาที่ต้องปีนป่ายขึ้นไป 
อุปสรรคนานาชนิดก่อนที่ใครคนหนึ่งจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือ 
ที่รัก จอมยุทธ์ทุกคนเดินทางทั้งชีวิตเพียงเพื่อพบคำตอบว่า 
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าเป็นเพียงเรื่องโกหก 
โลกนี้ไม่มีคัมภีร์ที่ว่านั้น 
ไม่มีทางลัดสู่ความสามารถ 
ไม่มีภาพสวยงามที่เกิดขึ้นในการวาดครั้งแรก 
ไม่มีบทกวีสละสลวยกินใจจากกวีไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม 
เราตรากตรำ--มิใช่เพื่อพบคัมภีร์ 
มิใช่เพื่อค้นหากระบี่น้ำดี พู่กันขนนุ่ม สีสันจากสายรุ้ง 
เปล่าเลย เราต่างเดินทางเพื่อเข้าใจว่า 
แท้ที่สุดแล้วสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่คัมภีร์ 
หากแต่เป็นการเดินทางนั่นเอง 
การตรากตรำเดินทางต่อเนื่องยาวนาน 
ทุกก้าวย่างหล่อหลอมให้เรากล้าแกร่ง 
ทุกย่างเท้าที่ตื่นขึ้นมาก้าวออกไปใหม่ในยามเช้า 
ค่อยค่อยโบยตีให้เรากลายเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุด 
มิต้องของสำนักไหน หากเป็นสำนักในแบบของเรานี่เอง 
จงก้าวต่อไปเถิดที่รัก  
ฉันมิเพียงจะหากระดาษ สี และพู่กันมามอบให้ 
แต่ยังขอมอบกำลังใจทั้งหมดที่จะให้ได้แก่เธอ 
จงอย่ามองหาความสามารถ 
จงอย่าออกเดินทางตามหาทางลัด 
จงมุ่งหน้าไปตามทางที่เลือกแล้ว 
อยู่บนเส้นทางนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 
วาดภาพ 
วาดภาพ 
วาดภาพ 
จงอย่าลืมชื่นชมดอกไม้ ผีเสื้อ เสียงนก และหยาดฝน 
เก็บเกี่ยวสิ่งสวยงามระหว่างทางมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการวาด 
แล้วการเดินทางที่ยากลำบากจะค่อยค่อยสวยงามขึ้น 
มิใช่ด้วยเส้นทางที่เปลี่ยนไป 
หากเป็นเพราะหัวใจที่เปลี่ยนแปลง 
เมื่อนั้นเธอจะอยากวาดภาพทุกสิ่งที่เธอมองเห็น 
เมื่อเธอมีดวงตาของจิตรกร 
มีฝีพู่กันที่ตวัดกวัดไกวด้วยใจมิใช่ด้วยความกังวล 
เมื่อความวิตกว่าจะทำได้ไม่ดีระเหยหายเหมือนน้ำค้างยามสาย 
เมื่อชีวิตของเธอว่างเบาสบายและสวยงาม 
ภาพวาดของเธอจะไหลหลั่งดั่งสายน้ำตามธรรมชาติ 
ฉ่ำเย็น ต่อเนื่อง และงดงามโดยไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ 
เมื่อนั้น 
ฉันจะรอชื่นชมภาพวาดจากปลายพู่กันของเธอ 
ได้เวลาแล้วที่รัก จงออกเดินทางเถิด.



หนังสือเล่มนี้กลายเป็นม้ามืด มาแรงแซงโค้งเล่มอื่นๆ ที่จดๆ จ้องๆ อยู่นาน
อันนี้หยิบ แล้วก็อ่านเลยซะงั้น และก็รู้สึกว่า ...
แหม...การสุ่มเลือกเล่มนี้มา
มันช่างลงล็อค ต่อกันกับ "ชีวิตนี้ ฟ้าลิขิต" ที่ได้รีวิวไปแล้วจริงๆ
(อ๊ะ! มนุษย์ชอบสร้างหลักฐาน)


จะว่าไปก็ไม่ได้อ่านนิยายจีนมานานนนนนนนมาแล้วนะนี่ ...











ปีนี้เป็นปีที่แม่ชวนอยู่บ้าน ด้วยเหตุที่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เพียงพอ
เลยต้องเว้นการเวียนเทียนที่ธรรมสถานจุฬา
ซึ่งเป็นที่ๆ มักจะไปเป็นประจำทุกปี แถมชวนคนโน้นคนนี้ไปเสมอๆ
ไปวันอื่นแล้วกัน

วันนี้อยากหยิบยกเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวแต่ก็เกี่ยวกันมาเขียนไว้

โลกนิติ

จำไม่ได้ทั้งหมดหรอก แต่มีโคลงโลกนิติอยู่บทหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องโลกธรรม

ห้ามเพลิงไว้อย่าให้   มีควัน
ห้ามสุริยแสงจันทร์    ส่องไซร้
ห้ามอายุให้หัน          คืนเล่า
ห้ามดั่งนี้ไว้ได้          จึงห้ามนินทาฯ

โลกนิติ แปลว่า ระเบียบแบบแผนแห่งโลก เนื้อหาในโคลงโลกนิติมุ่งแสดงความจริงของโลก
และสัจธรรมของชีวิต ท่านว่าแต่งเพื่อสอนให้ผู้อ่านได้รู้ทันโลก เข้าใจในความเป็นไปของชีวิต
เป็นแม่แบบในการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องดีงาม

ในขณะเดียวกัน โลกธรรมก็เป็นของที่อยู่คู่โลก เป็นความจริงที่ทุกคนต้องเจอ
และต้องทำใจให้ได้ว่า "ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"  

โลกธรรม 8
โลกเราประกอบไปด้วย ทวิภาค หรือความเป็นของสองสิ่งเหมือนเหรียญสองด้าน
มีขั้วบวกขั้วลบ มีดีมีชั่ว มีหยิน มีหยาง ฯลฯ

โลกธรรม 8 ที่ท่านสรุปเอาไว้มี 4 กลุ่มๆ ละ 2 ด้านในทิศทางตรงข้ามกัน
เกณฑ์การแบ่งที่ใช้ คือความพอใจและไม่พอใจ 
ซึ่งจะเป็นชนวนก่อให้เกิดโลภะ (การอยากดึงเข้า) และโกธะ (การผลักออก)

กลุ่มที่ 1 ได้ลาภ-เสื่อมลาภ : มีได้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์โพดผลต่างๆ ก็อาจต้องมีวันนึงที่เสียสิ่งนั้นไปไม่ว่าจะด้วยการสิ้นอายุ หรือสูญหาย หรือถูกเบียดเบียน ฯลฯ 

กลุ่มที่ 2 ได้ยศ-เสื่อมยศ : มีช่วงเวลาที่ได้รับการยอมรับมากมาย ก็อาจต้องมีวันหนึ่งหรือแม้แต่ชั่วขณะสั้นๆ ที่จะรู้สึกถึงการไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม จากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความไม่เข้าใจ (ที่เป็นเหตุผลชั่วคราว) หรือเหตุผลของความไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ไม่ใช่ ไม่เหมาะกับสภาวะการยอมรับนั้น (เป็นเหตุผลชั่วคราวที่ยาวนาน)

กลุ่มที่ 3 สรรเสริญ-นินทา : ในเมื่อคนเราต่างความคิด การกระทำของเราจึงถูกตีความได้หลายแบบ คนที่รัก ชอบ ที่แม้ไม่ได้ประโยชน์แต่เพราะชอบเรา หรือแม้แต่ได้ประโยชน์จากการกระทำนั้น ก็มักจะสรรเสริญ ยกย่อง ยินดีด้วย ในขณะเดียวกัน คนที่เกลียดเราเป็นทุนเดิม เสียผลประโยชน์ หรือคิดว่าเสียผลประโยชน์จากการกระทำของเรา (ทั้งที่จริงๆ อาจไม่ได้เสีย) ก็มักจะมีการพูดถึงในทางไม่ดี ทำให้เกิดความเสียหายหรือเจ็บใจแก่เรา โดยที่บางทีเราก็ไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เขาเข้าใจนั้น
(แต่มันคือ law of action-reaction นะเราว่า เคยนินทาใครไว้ ก็จะถูกคนอื่นนินทาให้บ้าง ถือว่าหายกันไป Fair play ^^...เอ๊ะ แต่สำหรับเราที่ต้องเจอเรื่องทำนองนี้ตั้งแต่ประถม หมายความว่าไงห๊าาาา)   


กลุ่มที่ 4 สุข-ทุกข์ : ความสบายกาย สบายใจ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เมื่อหมดเหตุ ความสบายกาย สบายใจเหล่านั้นก็หายไป การเข้าไปยึด ยื้ออยากให้มันอยู่กับเรานานๆ กลับก่อให้เกิดผลตรงข้าม คือก่อให้เกิดทุกข์ 

อย่าคิดว่าอะไรๆ จะอยู่กับเราไปตลอด เพราะ 

"โลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่เป็นของเรา"

โดยส่วนตัวแล้วเจ็บปวดมากๆ กับความจริงข้อนี้
แต่ก็ยิ่งโตยิ่งชัดว่ามันเป็นเรื่องจริงที่หนีไม่พ้น  
ทางที่ดีคือ ยึด motto ของตัวเองไว้ 
Life is a moment, living is the way we choose to use that moment. : Kookio


สำหรับโคลงโลกนิติที่ชอบมากๆ คือบทนี้

ถึงจนทนสู้กัด                     กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ          พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ    สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง                หาเนื้อกินเองฯ 

เหตุผลแรก เพราะมันเห็นภาพชัดสำหรับเด็กๆ...
นึกภาพตามสิ...เสือผอมโซๆ ตัวนึง ท้องกิ่ว
อุตส่าห์หาอาหารมาได้ แล้วก็ถูกเค้าแย่งไป และก็ไม่มีแรงจะไปแย่งกลับมา 555 
และก็ไม่ได้รอที่จะแย่งอาหารจากชีตาห์ด้วยกัน หรือสัตว์ที่มีแรงน้อยกว่าต่อ
จริงๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในธรรมชาตินะ
เสือที่ถูกแย่งอาหารเป็นประจำคือ เสือชีตาห์ (ตัวเมีย) 
จนตอนนี้ จำนวนประชากรเสือชีตาห์ลดลงมากอย่างน่าใจหาย
นักวิจัยบอกว่า เป็นเพราะเสือชีตาห์ต้องใช้พลังงานมากมายในการวิ่งกวดให้เร็วในระยะสั้นๆ 
ซึ่งมันกินแรงไปมาก (นึกถึงตอนวิ่งระยะสั้นดู)
สัตว์ที่แย่งคืออะไรรู้มะ สิงโต! เจ้าป่าเชียวนะ!
ปลอบใจตัวเองว่าไม่มีวาสนาแล้วกัน ชีตาห์เอ๋ย

(หยุด! ไม่มีวาสนาไม่ได้แปลว่าแย่หรือโง่จนไม่คู่ควร
หรือเป็นคำที่เอาไว้  "เหยียด" อีกฝ่าย
เพราะวาสนานี่เป็นเรื่อง relative 
ของบางอย่างอาจเป็นเรื่องดีเลิศเลอสำหรับบางคน 
แต่ในทางกลับกันของสิ่งนั้นกลับทำร้ายอีกคนก็ได้) 

สำหรับชีตาห์ ถ้ากินเยอะอาจจะอ้วน วิ่งไม่ไหวก็ได้นะ เลยต้องถูกแย่งอาหารไป ^^ 

เราเข้าใจว่า ทรัพยากรบนโลกนี้มีอยู่อย่างจำกัด... 
แม้เป็นต้นไม้ ดอกไม้ ก็ต้องแข่งกันงอกให้สูงที่สุด เพื่อรับแสงอาทิตย์ให้มากที่สุด
แม้เป็นสัตว์ ก็ต้องห้ำหั่นแย่งอาหาร แย่งที่อยู่ แย่งคู่ครอง 
แม้เป็นคน ก็ต้องแย่งชิงปัจจัยสี่ แย่งชิงพื้นที่ทางความคิด แย่งชิงความรัก แย่งชิงอำนาจ 
ทั้งหมดนี้เพื่อการคงไว้ซึ่ง "ตัวตน" 
สำหรับเรา มันน่าเบื่อออกนะ 

(อ๊ะ ยังไม่ใช่นิพพิทาหรอก อาจเป็นแค่ความเบื่อเพราะองุ่นเปรี้ยวก็ได้มั้ง)


ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิต 
"ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ แต่การไม่เห็นแก่ศักดิ์ศรีนี่แหละ ทำให้ความชั่วร้ายซื้อไปได้"
จำได้ว่าเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2013

แม้บางที อาจดูเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง
แต่ในที่สุดแล้ว คนเราก็ต้องทำอย่างนี้...คนเราหลอกตัวเองอยู่ทุกวัน
ทุกเรื่องด้วย 
เพื่อให้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้...อย่างมีความสุข
เพราะอายตนะ 5 ของเรามันมีความสามารถจำกัด
(หาอ่านได้ในชีวิตนี้...ฟ้าลิขิตนะคร้าาา) 



แถม สำหรับวันนี้ : บทสวดมนต์บทนี้ไม่ได้ชอบมากนัก แต่เป็นบทที่ฟังแล้วสบายใจที่สุด 
อนุโมทนากับผู้จัดทำด้วยค่ะ



ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งที่เราพบเจอแล้ว และยังไม่เจอ 
สนิทและไม่สนิท เคยคุยกันและไม่เคยคุยกัน รู้จักกันและเหมือนจะไม่รู้จักกัน
เราโชคดีมากๆ ที่ได้อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม เจอแต่คนดีๆ คอยตักเตือนและอยู่ข้างๆ กันเสมอ 



เครดิต  : ขอบคุณข้อมูลต่างๆ จากผู้ที่เข้าไปอัพเดตใน Wikipedia และ www.kaweeclub.com
ภาพดอก cosmos จากดอยแม่ตะมาน เมื่อต้นปี 2014

สาระ : โคลงโลกนิติทั้งหมด

๏ ปลาร้าพันห่อด้วย           ใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลา             คละคลุ้ง
คือคนหมู่ไปหา                 คบเพื่อน พาลนา
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง               เฟื่องให้เสียพงศ์ฯ
     
๏ ใบพ้อพันห่อหุ้ม             กฤษณา
หอมระรวยรสพา              เพริศด้วย
คือคนเสพเสน่หา              นักปราชญ์
ความสุขซาบฤาม้วย          ดุจไม้กลิ่นหอมฯ
    
 

๏ ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้            มีพรรณ
ภายนอกแดงดูฉัน              ชาดป้าย
ภายในย่อมแมลงวัน           หนอนบ่อน
ดุจดังคนใจร้าย                  นอกนั้นดูงามฯ 
   
๏ ขนุนสุกสล้างแห่ง            สาขา
ภายนอกเห็นหนามหนา      หนั่นแท้
ภายในย่อมรสา                  เอมโอช
สาธุชนนั้นแล้                    เลิศด้วยดวงใจฯ
    

๏ คนพาลผู้บาปแท้              ทุรจิต
ไปสู่หาบัณทิต                    ค่ำเช้า
ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์          บ่ทราบ ใจนา
คือจวักตักเข้า                    ห่อนรู้รสแกงฯ 

 
๏ หมูเห็นสีหราชท้า            ชวนรบ
กูสี่ตีนกูพบ                       ท่านไซร้
อย่ากลัวท่านอย่าหลบ         หลีกจาก กูนา
ท่านสี่ตีนอย่าได้                วากเว้นวางหนีฯ
     

๏ สีหราชร้องว่าโอ้             พาลหมู
ทรชาติครั้นเห็นกู              เกลียดใกล้
ฤามึงใคร่รบดนู                 มึงมาศ เองนา
กูเกลียดมึงกูให้                  พ่ายแพ้ภัยตัวฯ 
     
๏ กบเกิดในสระใต้            บัวบาน
ฤาห่อนรู้รสมาลย์              หนึ่งน้อย
ภุมราอยู่ไกลสถาน            นับโยชน์ ก็ดี
บินโบกมาค้อยค้อย           เกลือกเคล้าเสาวคนธ์ฯ
    

๏ ไม้ค้อมมีลูกน้อม           นวยงาม
คือสัปบุรุษสอนตาม          ง่ายแท้
ไม้ผุดังคนทราม               สอนยาก
ดัดก็หักแหลกแล้              ห่อนรื้อโดยตามฯ 
 
๏ นาคีมีพิษเพี้ยง               สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช                  แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส              แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า                  อวดอ้างฤทธีฯ
     

๏ ความรู้ผู้ปราชญ์นั้น        นักเรียน
ฝนทั่งเท่าเข็มเพียร            ผ่ายหน้า
คนเกียจเกลียดหน่ายเวียน  วนจิต
กลอุทกในตระกร้า             เปี่ยมล้นฤามีฯ 

 
๏ งาสารฤาห่อนเหี้ยน        หดคืน
คำกล่าวสาธุชนยืน            อย่างนั้น
ทุรชนกล่าวคำฝืน             คำเล่า
หัวเต่ายาวแล้วสั้น             เล่ห์ลิ้นทรชนฯ
    

๏ ห้ามเพลิงไว้อย่าให้         มีควัน
ห้ามสุริยแสงจันทร์            ส่องไซร้
ห้ามอายุให้หัน                  คืนเล่า
ห้ามดังนี้ไว้ได้                  จึ่งห้ามนินทาฯ 
      
๏ ภูเขาเหลือแหล่ล้วน         ศิลา
หามณีจินดา                    ยากได้
ฝูงชนเกิดนานา                ในโลก
หานักปราชญ์นั้นไซร้        เลือกแล้วฤๅมีฯ 

 
๏ พริกเผ็ดใครเผ็ดให้          ฉันใด
หนามย่อมหนามเองใคร     เซี่ยมให้
จันทร์กฤษณาไฉน            ใครอบ หอมฤๅ
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้       เพราะด้วยฉลาดเองฯ 

 
๏ ภูเขาเอนก ล้ำ                  มากมี
บ่มิหนักแผ่นธรณี              หน่อยไซร้
หนักนักแต่กระลี                ลวงโลก
อันจักทรงทานได้               แต่พื้นนรกานต์๚


๏ ดารามีมากน้อย               ถึงพัน
บ่เปรียบกับดวงจันทร์         หนึ่งได้
คนพาลมากอนันต์             ในโลก
จะเทียบเท่าปราชญ์ไซร์      ยากแท้ฤๅถึงฯ 
 
๏ ถึงจนทนสู้กัด                 กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ           พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ        สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง                จับเนื้อกินเอง๚

 
๏ ตีนงูงูไซร้หาก                เห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญ                 ไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหัน               เห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้      ปราชญ์รู้ เชิงกันฯ 

๏ เว้นวิจารณ์ว่างเว้น         สดับฟัง
เว้นที่ถามอันยัง                ไป่รู้
เว้นเล่าลิขิตสัง-                 เกตว่าง เว้นนา
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้                ปราชญ์ได้ฤามีฯ
   

๏ รู้น้อยว่ามากรู้                เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน                 สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล                 กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย                มากล้ำลึกเหลือฯ 


๏ เสียสินสงวนศักดิ์ไว้        วงศ์หงส์
เสียศักดิ์สู้ประสงค์              สิ่งรู้
เสียรู้เร่งดำรง                    ความสัตย์ ไว้นา
เสียสัตย์อย่าเสียสู้               ชีพม้วยมรณาฯ
     

๏ ตัดจันทน์ฟันม่วงไม้        จัมบก
แปลงปลูกหนามรามรก      รอบเรื้อ
ฆ่าหงส์มยุรนก                  กระเหว่า เสียนา
เลี้ยงหมู่กากินเนื้อ              ว่ารู้ลีลาฯ 
 
๏ น้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว            ยูงตาม
ทรายเหลือบหางยูงงาม        ว่าหญ้า
ตาทรายยิ่งนิลวาน              พรายเพริศ
ลิงว่าหวัวหวังหว้า               หว่าดิ้นโดดตามฯ
   

๏ พระสมุทรสุดลึกล้น          คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา                หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา                  กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้                  ยากแท้หยั่งถึงฯ 
 
๏ รักกันอยู่ขอบฟ้า              เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว           ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว                ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง         ป่าไม้มาบังฯ
   

๏ ให้ท่านท่านจักให้            ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง            นอบไหว้
รักท่านท่านควรครอง         ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้                  แต่ผู้ทรชนฯ 
    
๏ แม้นมีความรู้ดั่ง             สัพพัญญู
ผิบ่มีคนชู                         ห่อนขึ้น
หัวแหวนค่าเมืองตรู           ตาโลก
ทองบ่รองรับพื้น                ห่อนแก้วมีศรีฯ 


๏ เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม          ดนตรี
อักขระห้าวันหนี                เนิ่นช้า
สามวันจากนารี                 เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า           อับเศร้าศรีหมองฯ 

๏ ใครจักผูกโลกแม้           รัดรึง
เหล็กเท่าลำตาลตรึง          ไป่หมั้น
มนตร์ยาผูกนานหึง           หายเสื่อม
ผูกเพื่อไมตรีนั้น               แน่นเท้าวันตายฯ
 

๏ ผจญคนมักโกรธด้วย     ไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดี               ต่อตั้ง
ผจญคนจิตโลภมี              ทรัพย์เผื่อ แผ่นา
ผจญอสัตย์ให้ยั้ง               หยุดด้วยสัตยาฯ 
 
๏ คนใดคนหนึ่งผู้             ใจฉกรรจ์
เคียดฆ่าคนอนันต์             หนักแท้
ไป่ปานบุรุษอัน                ผจญจิต เองนา
เธียรท่านเยินยอแล้           ว่าผู้มีชัยฯ 

๏ ความรู้ดูยิ่งล้ำ               สินทรัพย์
คิดค่าควรเมืองนับ            ยิ่งไซร้
เพราะเหตุจักอยู่กับ           กายอาต มานา
โจรจักเบียนบ่ได้              เร่งรู้เรียนเอาฯ 
 
๏ คนใดโผงพูดโอ้            อึงดัง
อวดว่ากล้าอย่าฟัง            สัปปลี้
หมาเห่าเล่าอย่าหวัง          จักขบ ใครนา
สองเหล่าเขาหมู่นี้             ชาติเชื้อเดียวกันฯ
 

๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง        เมล็ดงา
ปองติฉินนินทา               ห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผา               หนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้น          เรื่องร้ายหายสูญฯ 

๏ ราชาธิราชน้อม            ในสัตย์
อำมาตย์เป็นบรรทัด         ถ่องแท้
ฝูงราษฎร์อยู่ศรีสวัสดิ์       ทุกเมื่อ
เมืองดั่งนี้เลิศแล้              ไพร่ฟ้าเปรมปรีดิ์ฯ
  

๏ คนใดละพ่อทั้ง             มารดา
อันทุพพลชรา                 ภาพแล้ว
ขับไล่ไม่มีปรา                นีเนตร
คนดั่งนี้ฤาแคล้ว              คลาดพ้นไภยันฯ 
 
๏ หอมกลิ่นดอกไม้ที่         นับถือ
หอมแต่ตามลมฤา            กลับย้อน
หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ      ศีลสัตย์ นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน         ทั่วใกล้ไกลถึงฯ
 

๏ ก้านบัวบอกลึกตื้น         ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน           ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน    ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ    บอกร้ายแสลงดินฯ 
 
๏ อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า     มาถนอม
สูงสุดมือมักตรอม            อกไข้
เด็ดแต่ดอกพยอม            ยามยาก ชมนา
สูงก็สอยด้วยไม้               อาจเอื้อมเอาถึงฯ


๏ เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ    มังสา
นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา         ไป่อ้วน
สองสามสี่นายมา                กำกับ กันแฮ
บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน            บาทสิ้นเสือตายฯ 
      
๏ โคควายวายชีพได้         เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยัง              อยู่ไซร้
คนเด็ดดับสูญสัง              ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้           แต่ร้ายกับดีฯ
      

๏ ถึงจนทนสู้กัด                กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ          พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ       สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง               จับเนื้อกินเองฯ 
      
๏ บางคาบภาณุมาศขึ้น       ทางลง ก็ดี
บางคาบเมรุบ่ตรง              อ่อนแอ้
ไฟยมดับเย็นบง-               กชงอก ผานา
ยืนสัตย์สาธุชนแท้             ห่อนเพี้ยนสักปางฯ


๏ เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว   แหนงหนี
หาง่าย หลายหมื่นมี           มากได้
เพื่อนตาย ถ่ายแทนชี-       วาอาตม์
หากยาก ฝากผีไข้             ยากแท้จักหาฯ 

๏ อ่อนหวานมานมิตรล้น   เหลือหลาย
หยาบบ่มีเกลอกราย          เกลื่อนใกล้
ดุจดวงศศิฉาย                 ดาวดาษ ประดับนา
สุริยส่องดาราไร้               เมื่อร้อนแรงแสงฯ
 

๏ ยอข้ายอเมื่อแล้ว           การกิจ
ยอยกครูยอสนิท              ซึ่งหน้า
ยอญาติประยูรมิตร           เมื่อลับ หลังแฮ
คนหยิ่งแบกยศบ้า            อย่ายั้งยอควรฯ 
   
๏ พริกเผ็ดใครให้เผ็ด       ฉันใด
หนามย่อมแหลมเองใคร   เซี่ยมให้
จันทน์กฤษณาไฉน          ใครอบ หอมฤๅ
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้      เพราะด้วยฉลาดเองฯ 

 
๏ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ     ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน           กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแก่ตนคน            เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ          ใส่ผู้บาปเองฯ 
 
๏ ใครจักผูกโลกแม้          รัดรึง
เหล็กเท่าลำตาลตรึง         ไป่หมั้น
มนต์ยาผูกนานหึง            หายเสื่อม
ผูกเพื่อไมตรีนั้น              แน่นเท้าวันตายฯ 
 


๏ ความเพียรเป็นอริแล้ว     เป็นมิตร
คร้านเกียจเป็นเพื่อนสนิท   ร่วมไร้
วิชาเฉกยาติด                   ขมขื่น
ประมาทเหมือนดับไต้        ชั่วร้ายฤๅเห็นฯ 
 
๏ เห็นใดจำให้แน่              นึกหมาย
ฟังใดอย่าฟังดาย               สดับหมั้น
ชนม์ยืนอย่าพึงวาย            ตรองตรึก ธรรมนา
สิ่งสดับทั้งนั้น                   ผิดเพี้ยนเป็นครูฯ 
 


๏ อย่าโทษไทท้าวท่วย       เทวา
อย่าโทษสถานภูผา            ย่านกว้าง
อย่าโทษหมู่วงศา              มิตรญาติ
โทษแต่กรรมเองสร้าง       ส่งให้เป็นเองฯ 
  
๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง        เมล็ดงา
ปองติฉินนินทา               ห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผา               หนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้น          เรื่องร้ายหายสูญฯ
 

๏ เดินทางต่างเทศให้        พิจารณ์
อาสน์นั่งนอนอาหาร         อีกน้ำ
อดนอนอดบันดาล            ความโกรธ
ห้าสิ่งนี้คุณล้ำ                  เลิศล้วนควรถวิลฯ 
 
๏ เป็นคนคลาดเหย้าอย่า    เปล่ากาย
เงินสลึงติดชาย                ขอดไว้
เคหาอย่าสูญวาย              ข้าวเปลือก มีนา
เฉินฉุกขุกจักได้              ผ่อนเลี้ยงอาตมาฯ
      
 
๏ พายเถิดพ่ออย่ารั้ง         รอพาย
จวนตะวันจักสาย             ส่องฟ้า
ของสดสิ่งควรขาย           จักขาด ค่าแฮ
ตลาดเลิกแล้วอ้า              บ่นอื้นเอาใครฯ 
       
๏ ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้          ปูนปัน
ภาคหนึ่งพึงเกียดกัน          เก็บไว้
สองส่วนเบ็ดเสร็จสรรพ์      การกิจ ใช้นา
ยังอีกส่วนควรให้              จ่ายเลี้ยงตัวตนฯ
      
 
๏ ย่าขุดขอดท่านด้วย        วาจา
อย่าถากท่านด้วยตา          ติค้อน
ฟังคำกล่าวมฤษา             โสตหนึ่ง นะพ่อ
หยิบบ่ศัพท์กลับย้อน         โทษให้กับตนฯ
       
๏ กาน้ำดำดิ่งด้น             เอาปลา
กาบกคิดใคร่หา              เสพบ้าง
ลงดำส่ำมัจฉา                 ชลชาติ
สวะปะคอค้าง                 ครึ่งน้ำจำตายฯ
      
 
๏ ไปเรือนท่านไซร้อย่า    เนานาน
พูดแต่พอควรการ           กลับเหย้า
ริร่ำเรียนการงาน            เรือนอาต มานา
ยากเท่ายากอย่าเศร้า       เสื่อมสิ้นความเพียรฯ 
       
๏ เป็นคนคิดแล้วจึ่ง         เจรจา
อย่ามลนหลับตา              แต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญา       ตรองตรึก
สติริรอบให้                    ถูกแล้วจึงทำฯ
      
 
๏ ปางน้อยสำเหนียกรู้       เรียนคุณ
ครั้นใหญ่ย่อมหาทุน         ทรัพย์ไว้
เมื่อกลางแก่แสวงบุญ       ธรรมชอบ
ยามหง่อมทำใดได้           แต่ล้วนอนิจจังฯ 
 
๏ คุณแม่หนาหนักเพี้ยง    พสุธา
คุณบิดรดุจอา-                กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา               เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง         อาจสู้สาครฯ 

 
๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้      สุขสบาย
เย็นญาติสุขสำราย          กว่าไม้
เย็นครูยิ่งพันฉาย           กษัตริย์ยิ่ง ครูนา
เย็นร่วมพระเจ้าให้         ร่มฟ้าดินบนฯ 
 
๏ วิชาควรรักรู้               ฤๅขาด
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์       ว่าน้อย
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ            มีมั่ง
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย          ชั่วลื้อเหลนหลานฯ 

 
๏ อย่าหมิ่นของเล็กนั้น     สี่สถาน
เล็กพริกพระกุมาร          จิดจ้อย
งูเล็กเท่าสายพาน            พิษยิ่ง
ไฟเล็กเท่าหิ่งห้อย           อย่าได้ดูแคลนฯ 





แหม...เรื่องอย่างนี้ล่ะเขียนคล่องเชียวนะ ไอ้กุ๊ก (ใช้เวลา 3 ชม. ถ้าเขียนงานได้เร็วอย่างนี้ก็ดีสิ :P)
เคยคิดจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ... แต่ก็ระงับไว้ ตอนนี้ขอเหอะ อัดอั้นเต็มที
(ตรูจะโดนมั้ยฟระ?)

เมื่อวานเพิ่งดูหนังเรื่อง Big Hero 6 จบไป ทำให้นึกถึงการคิดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการสูญเสียบุคลากรในด้านเทคโนโลยีขึ้นมา

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกรณีธรรมกาย ... อ่านต่อไปเถอะค่ะ เกี่ยวแน่ๆ


>>> ตอนเล็กๆ ก่อนเข้า ป.1 (ประมาณปี 2525) พ่อซึ่งเป็นครูวิชาศีลธรรมได้พาเด็กนักเรียนไปตอบปัญหาทางก้าวหน้าซึ่งจัดขึ้นที่จุฬาฯ เป็นประจำ (CU นะ ไม่ใช่ มจร.)
ตอนนั้นการอ่านเป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียวของเรา
รู้สึกว่าหนังสือที่ได้จากงานทางก้าวหน้ามันสนุกและอ่านง่ายมาก สำหรับเด็ก 6 ขวบ
กลายเป็นแฟนคลับหนังสือมงคลชีวิตฉบับทางก้าวหน้า นิทานชาดก ฯลฯ
(หนี้บุญคุณดอกที่หนึ่ง) <<<

สักพักมีข่าวอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ บิดาเริ่มไม่พาเด็กไปและก็พูดถึงวัดอย่างรุนแรง

>>> มัธยมก็มีไปตอบปัญหาธรรมะเป็นประจำ หนึ่งในนั้นก็มีไปที่ธรรมกาย
เป็นครั้งแรกที่ได้มาวัดจริงๆ โคตรไกล LoL (ก่อนย้ายบ้านมาแถวนี้) ข้างในก็ดีเนอะ
ก็เป็นระเบียบดี...แต่เราไม่ชอบอะไรแบบนี้ มันร้อนมากกกก
เราชอบวัดที่ต้นไม้เยอะๆ หรือสถาปัตยกรรมสวยๆ มากกว่า
ดันได้รางวัลมาด้วย (หนี้บุญคุณดอกที่สอง) <<<

>>> มัธยมปลายมีโอกาสได้มาวัดอีกครั้ง แล้วก็ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับวัด
เพิ่มขึ้น อิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ ระเบียบปฏิบัติที่แตกต่างกับวัดอื่น ทำไมเจ้าอาวาสต้องใส่แว่นดำ ฯลฯ ที่สำคัญจะใช้คำโน้มน้าวว่า นั่งสมาธิแล้วเรียนเก่งนะ ซึ่งมันก็ถูก...แต่ <<<

ช่วงปี 2540-41 ระดมทุนสร้างจานและพระรอบจานนะ ถ้าจำไม่ผิด
บางคนจะกันเงินเดือน 1/3 ไว้ทำบุญเลย สาธุ...นี่สำหรับคนที่พอมี
แต่สำหรับคนที่ไม่มี บางทีก็ยอมอดนะ และข้างในก็จะกล่อมคนด้วยเรื่องแนวนี้เสมอ
ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วได้อะไร ไม่รวมการได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์นะ
บวกกับประเพณีที่ "เยอะ" กว่าเดิมจนเกินระดับปกติไปมากกกกกกกก

กรณีธรรมกายเริ่มส่อเค้ารุนแรงและเป็นข่าวดังมากช่วงปลายปี 2541
ทั้งเรื่องเงินและคำสอนที่ผิดเพี้ยน องค์กรภาครัฐเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง
คำสอน "นิพพานเป็นอัตตา" ซึ่งบิดาบ่นหูชาทุกวัน

ถ้าจะเขียนประสบการณ์อย่างละเอียด อาจดูเป็นการไม่สำนึกบุญคุณ
จึงขอละไว้แต่เพียงเท่านี้

จะว่าไปแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น แม้ในครั้งพุทธกาล
จึงมีคนทูลถามพระพุทธองค์เกี่ยวกับ การวินิจฉัยว่า
อย่างไรเป็นคำสอนของพระศาสดา อย่างไรไม่ใช่
ซึ่งมีการแสดงไว้อย่างน้อย 2 แห่งด้วยกัน ดังนี้ 

-อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรค ‪#‎สังขิตตสูตร‬-
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไป
๐ เพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 
๐ เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก
๐ เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
๐ เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
๐ เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๐ เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด
๐ เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
๐ เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า
"นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัยไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ"
-อังคุตตรนิกาย สันตกนิบาต ปัณณาสก์ ‪#‎วินัยวรรคที่‬ ๓
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอุบาลี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า
๐ ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว
เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม นี้ไม่ใช่วินัย นี้ไม่เป็นคำสั่งสอนของศาสดา"

หลังจากกรณีธรรมกายสงบลง มูลนิธิได้เชิญ พระมโน เมตตานันโท ในสมัยนั้น
มาเสวนาเรื่องศาสนา อาจารย์ (ศ.ดร.สมศักดิ์ ชูโต) เคยเปรยๆ ว่า
น่าจะทำเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจในศาสนา
สำหรับเรามองว่า มันอันตรายเกินไปและยากแก่การหาข้อมูล (อ.นิศาก็เห็นด้วยว่า ยาก)
แม้จะเป็นแค่การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากองค์กรแห่งนี้
ก็ยังเป็นเรื่องยาก และมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องมากมาย ยากแก่การตีค่า
มามองคร่าวๆ กัน

1. วัดพระธรรมกายก่อตั้งในปี 2513 ตั้งแต่เป็นมูลนิธิ จนมาเป็นวัด ช่วงต้นมีการเผยแผ่ศาสนาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ (นักเรียน นักศึกษาสมัยนั้น) ไม่นับรวม "บุญ" ที่ได้ แต่ละปีจะมีเด็กหรือผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา ที่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่...เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ "ใช้ทุน" อยู่กับธรรมกาย

2. มีผู้ที่ทุ่มเทกับการทำบุญด้วยเงิน และอื่นๆ มากมาย เพราะเชื่อกันว่า ที่ชาตินี้ตนเองแย่ ตนเองจนเพราะไม่ได้ทำบุญหรือทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ไม่ดีพอ บางครั้งมีการอ้างถึงผู้มีอำนาจ ผู้ร่ำรวย ในสังคมหลายคนที่ได้ประโยชน์ หรือกลับร่ำรวยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไปทำบุญ ฯลฯ ซึ่งข่าวการสูญเสีย ทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยกกันอันเนื่องมาจากการทำบุญมีให้เห็นตลอดมา ปัจจัยที่ได้ส่วนใหญ่ ใช้เป็นทรัพยากรขององค์กรในการเผยแผ่ต่อ เครื่องใช้ไม้สอยไฮเทคมากๆ ในวัด และ...
เราเคยคิดกันเล่นๆ มั้ยว่า เงินบริจาคเฉพาะองค์กรนี้เป็นกี่ % ของ GDP ? การทำบุญจัดเป็นแค่ Transfer payment? ประเทศตีความองค์กรทางศาสนาอยู่ในหมวดไหน?

3. ผู้ที่ศรัทธามากจนกระทั่งลาขาดชีวิตทางโลกเพื่อทุ่มเทการทำงานให้องค์กรอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตเทียบกับถ้าดำเนินชีวิตตามปกติจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สมมติ
- บวช : เชิญชวนคนเข้าวัดได้ 16 ปี = xxx คน คิดเป็นเงินบริจาค/ทำบุญ xxx บาท + อื่นๆ ตามแต่จะคิดได้ ที่เป็นบุญใหญ่คงเพราะเป็นการสืบทอดศาสนา (ไม่รู้จะตีค่าตัวแปรนี้อย่างไร)
- ไม่บวช : เป็นอาจารย์ สอนคณะวิศวกรรม 16 ปี สมมติว่าภาคไฟฟ้าละกัน ลูกศิษย์อย่างน้อย 100คน/รุ่น (ตอนนี้ มธ.รับเยอะมั้ยอ่า??) ลูกศิษย์แต่ละคนที่จบประกอบอาชีพ เกิดรายได้ เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ประมาณ 12 ปี รายได้ของตัวเองนำไปใช้ต่อ, ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากงานวิจัย/สิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้นมา, ตำราที่เขียน ฯลฯ
(ตัวแปรเยอะจริงๆ)    

ยากเนอะ...ยากที่จะทำ...ยากที่จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
คำว่า "ยาก" เยอะมากจริงๆ LoL ยากที่จะเขียนให้เป็นกลางด้วย


คำบอกเล่าของพระอดิศักดิ์ http://pantip.com/topic/33206456


ย้อนกลับมาเรื่อง Big Hero

ถ้าทาดาชิ ยังไม่ตาย ก็เช่นเดียวกับกรณีสมมติ ยังไม่บวช (ข้างต้น)
เราเชื่อว่าเค้าจะต้องสร้างหุ่นยนต์ดีๆ ที่ช่วยคนได้อย่างมากมาย 
พร้อมๆ ไปกับ Hiro และเด็กแสบใน lab nerd
  


(ไม่ลงรูปธรรมกายนะ คงไม่เหมาะกับสีกา)