วันนี้ (๒๐ พ.ย. ๕๘) เราได้ฟังเทศน์เกี่่ยวกับแรงบันดาลใจที่ได้รับจากหลวงพ่อปัญญาฯ (พระพรหมมังคลาจารย์) โดยท่านพระเทพปฏิภารกวี วัดประยูรฯ 

ท่านถึงกับกลั้นสะอื้น ด้วยความตื้นตันเวลารำลึกถึงแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ในการทำงานเผยแผ่พระศาสนาของท่าน (ปัจจุบันงานของท่านเน้นการผลิตพระนักเทศน์) เราทึ่งตรงที่...ท่านจดจำได้อย่างละเอียดถึงวัน-เวลา-สถานที่ที่พบกับหลวงพ่อปัญญาครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ! 

เพื่อนๆ เคยเป็นอย่างท่านมั้ยคะ? 


เราเป็นนะ...แม้ไอดอลของเราจะไม่อยู่แล้วก็ตาม 

เลยอยากจะแกว่งสารส้มความคิดตัวเอง เพื่อให้มันตกตะกอนบ้าง ^^

หลักๆ เลยเราว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบช่วยคนอื่นนะ 
ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น 
แต่หลักๆ เลยเพราะว่าเราอยู่ไม่สุข ให้นั่งอยู่เฉยๆ รับจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ใช่นิสัยเรา

ว่ากันตามตรงเราไม่ได้เป็นคนที่มีทรัพย์อย่างเหลือเฟือนัก พูดง่ายๆ ก็ยังปากกัดตีนถีบ แต่เราว่า...ณ ตอนนี้ สิ่งที่เราทำได้ด้วยการช่วยเหลือแรงกาย แรงความรู้ แก่ผู้อื่น เท่าที่เรามีความสามารถ ... ทั้งทีมันอาจจะน้อยกว่าคนอีกมากมายในสังคม

ไม่ได้เพื่อบุญหรืออะไร ... 
แต่เพื่อความสุขของตัวเอง

อาจารย์จิตวิทยาเราเคยบอกว่า "ในโลกนี้ ไม่มีใครทำอะไร โดยไม่หวังอะไร" 

นั่นเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) และแนวคิดนี้ใช้สำหรับการวางเงื่อนไขปรับพฤติกรรมมนุษย์ แต่ด้วยความสงสัยเราเคยถามอาจารย์ว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรคือตัวเสริมแรง (= อามิส = เครื่องล่อ, เหยื่อล่อ) ที่ดีที่สุดของคนนั้นๆ อาจารย์ตอบกลับมาสั้นๆ ให้เราไปหาเอาเอง

น่าดีใจที่ตัวเสริมแรงหลายตัว ไม่ใช่วัตถุ 

น่าดีใจที่มนุษย์ เป็นผู้ที่มีใจสูง เพราะมีหลายคนเห็นว่าการให้คือสิ่งที่ยังโลกนี้ให้อยู่ได้ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า CG, CSR และ "Sustainable Development" ที่จริงมันเป็นจิตสำนึกปกติของความเป็นมนุษย์เลยนะ การสร้างกรอบ หลักการทางการบริหารจัดการเป็นการเอาอะไรสักอย่างมาอ้างให้เราสบายใจว่ามันเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลเท่านั้นเอง   

เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่มากมายที่ใช้ชีวิตแบบอาสา ไม่ว่าจะมาเป็นพักๆ มาแค่ครั้งเดียวแล้วหายไปเลย หรือทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น จากภาพสมัยก่อนที่คนอาสาต้องกินอุดมการณ์มาก่อนเงินทอง หรือเป็นพวก ๕ ย. เดี๋ยวนี้ต่างไปแล้ว

อาสารุ่นใหม่มีความพร้อมแทบทุกอย่างในชีวิต ความสามารถ เงินทอง และความคิดที่ดี อย่างกลุ่มน้องที่เราเจอตอนครูอาสาปีที่แล้ว เพื่อนเราเองที่ทำอาสาต่อเนื่อง หรือรุ่นพี่ภาคเราที่บางคนลาออกจากการงานดีๆ ไปเป็นครูบ้านนอกจริงๆ หลายคนยังทำกิจกรรมอาสาต่อเนื่อง น้องบางคนพ่อแม่มีพร้อม แต่เลือกที่จะไปเป็นครูอยู่ที่ร่มเกล้า ฯลฯ ไม่ต้องเอาบุญหรือเกียรติยศ รางวัลใดๆ มาล่อ เพราะเราขอแค่ได้ทำให้งานพัฒนาประสบความสำเร็จ คนพ้นจากการเป็นเหยื่อของผู้แสวงหาประโยชน์ พ้นจากการเป็นเหยื่อของความไม่มี ความไม่พอของตนเอง ฯลฯ 
นับว่าเป็นโชคของโลกโดยแท้ 

แม้ในตอนนี้...เป็นวาระที่คนไทยสูญเสียที่สุดในชีวิต...กลับกลายเป็นวาระที่โหมกระพือกระแสงานอาสาพัฒนาให้ลุกโชนขึ้นอีก...เราอยากให้กระแสนี้คงอยู่นานๆ 


เราอยากให้กระแสของท่านยังคงอยู่รอบๆ เป็นพลังให้พวกเราบนแผ่นดินเสมอ ดังเช่นที่เป็นมาในอดีต


การรับใช้โลกใบนี้ เป็นเกียรติอย่างหนึ่งของการมีชีวิต... เป็นการตอบแทนบุญคุณแก่ทุกคนที่ทำให้เป็นเรา 
  
เราทำได้แค่ธุลีของพระองค์ที่เดินทางทั่วประเทศไทยเป็นระยะทางไกลกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์

เสี้ยวธุลีของพระพุทธเจ้าที่เดินเท้าเผยแผ่อิสรภาพทางจิต ปลดแอกคนในอินเดียจากความทุกข์ทรมาน 


เราก็ยังมีมิชชั่นเล็กๆ ไปอาสาทำโน่นทำนี่ตามต่างจังหวัดตามสโลแกน Explorer ของเรา 
แต่ในขณะเดียวกันในเมื่อมีโอกาส ที่ใกล้ๆ อย่างวัดชลประทานฯ ที่่ๆ แม้จะดูเหมือนมีญาติโยมมากมาย ก็ยังมีจุดที่ขาดกำลัง เราก็ต้องทำหน้าที่พุทธบริษัทเต็มตามกำลัง  
เป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ที่ได้มีส่วนรับใช้พระศาสนาในทางที่ตัวเองทำได้


ขอบพระคุณทุกสิ่งทุกอย่าง...ที่ส่งโอกาสในการพัฒนามานะคะ

เนื่องในวันพ่อ ๕ ธันวาคม ที่จะถึง...ขอขอบคุณพ่อบังเกิดเกล้าของเราด้วย
ที่ทำให้เราเกิดมา เลี้ยงดูและเพาะเมล็ดพันธุ์ในการทำงานอาสาให้กับเราตั้งแต่จำความได้
เพราะพ่อไม่ได้ร่ำรวย สิ่งที่พ่อทำได้คือช่วยอย่างอื่น ด้วยความรู้ ด้วยกำลังที่มี
จนถึงเดี๋ยวนี้ พ่อก็ยังทำ...ก็ยังไปถวายความรู้เณร ตอบแทนที่เคยได้บวชเรียน 
ไปเล่าธรรมะให้ผู้ต้องขังตามโอกาส เผื่อจะเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่พวกเขา
กุศลอันใดที่เราได้ เรายกให้พ่อและแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เราตลอดมาด้วยแล้วกัน ^^




๒๐ ต.ค. ๒๕๕๙ เลยสัตวารมา ๑ วัน 

ย้อนรำลึกถึง ๗ วันที่แล้วหลังจากมีข่าวลือไม่ค่อยจะดีมาต่อเนื่องหลายเดือน เราเลือกที่จะไม่เชื่่อว่าจะเป็นจริง ซึ่งดูเป็นการเห็นแก่ตัวเพราะเรามองแต่ในมุมของตัวเอง ไม่มองในมุมของพระองค์ท่าน พวกข่าววงในก็ไวกันเสียเหลือเกิน (เชื่อแล้วว่า "ใน" มากๆ) เช้าวันนั้นเรายังพูดกับน้องว่า สมัยก่อนเคยคิดว่าถ้าต้องเกิดเหตุการณ์แบบในเรื่องสี่แผ่นดิน เราคงเป็นหนักมากกว่านี้ แต่ ณ พ.ศ.นี้ เราว่าเรารับได้มากขึ้นแล้ว หลังจากนั้นก็ไปประชุมกับลูกค้า ใส่บาตร เลื่อนการประชุมเล็กน้อยเพื่อไปสวดมนต์รวมกัน บ่ายๆ มีข่าวเข้ามาอีก มี caption ข่าวจากต่างประเทศส่งมาในกรุ๊ปไลน์ พ่วงด้วยข้อมูลสารพัด จำได้ว่าโกรธมาก...เลือกที่จะไม่เชื่อแม้ว่าแหล่งข่าวคือเพื่อนที่เคยสอน/สอนและส่งลูกที่ ร.ร.จิตรลดาส่งข้อมูลมาให้ดู...และต้องทำเหมือนคนไทยอีกหลายคนในประเทศนี้ คือเลือกที่จะไม่แสดงอาการ ณ ตอนนั้น...จนกระทั่งแถลงการณ์...

ช่วงนี้มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น เพราะต้องเขียนบทความ และตรวจทานแนวคิดของพระองค์บางประการที่เคยรับรู้ว่าถูกต้องหรือไม่เพื่อใช้ในการทำงาน บ้างก็เป็นข้อมูลใหม่ (สำหรับเรา) บ้างก็เก่าและเคยรู้มาแล้ว เราว่าเป็นความกรุณาของฟ้า (หรือกรรมที่สั่งสมมา) อย่างถึงที่สุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระกรุณาต่อประชาชนชาวไทยยอมรับการสืบสันตติวงศ์

พ่อเล่าว่า สมัยพ่อบวชได้เคยรับพระราชทานผ้าพระกฐินจากพระหัตถ์ พ่อปลื้มใจมาก และต่อเมื่อสึกแล้วก็เป็นธรรมเนียมที่จะต้องพาลูกกับภรรยาไปเดินงานวันชาติ เฝ้ารอรับเสด็จตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ตัวพ่อเองแม้เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแต่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าหลายครั้งในวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เนื่องในงานพระราชทานพัดยศแก่เจ้าคุณต่างๆ ... เรื่องเหล่านี้ถูกฝังลงในตัวเรามาเป็นเวลานาน ... นานจนใครว่าในหลวงนี่ของขึ้นยิ่งกว่าด่าพ่อเสียอีก

เราเป็นพวกสุดโต่ง เราดูทีวี เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจมาตั้งแต่เด็ก เราได้รางวัลเรียงความเรื่องในหลวงตั้งแต่ ป.2 แน่นอนว่าเราเทียบไม่ได้กับอัจฉริยะหลายๆ คนในประเทศ แต่เรามั่นใจว่าเรา "เก็บความ" เกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรของพระองค์ได้ไม่น้อย

การเป็นเด็กรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ เพราะไม่ตั้งใจเรียนมากนักเลยไม่มีโอกาสใกล้ชิดพระองค์เท่าที่พ่อหวัง เราเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าโดยบังเอิญครั้งหนึ่งตอน ม.2 ที่พระองค์เสด็จออกบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม รางๆ ว่าเสด็จเพียงพระองค์เดียว...เรากับเพื่อนสามคนไปเที่ยวแถวเกาะรัตนโกสินทร์ เดินมาพักที่วัดพระแก้วแล้วทหารก็ปิดทางสัญจรเพื่อรับเสด็จ เป็นความโชคดีอย่างที่สุดที่วันนั้นได้ร่วมในพิธีและยังได้ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล 20 บาทแก่พระหัตถ์ ... แถมแอบสัมผัสพระหัตถ์เล็กน้อย ปลื้มสุดๆ ในชีวิต นั่นคือเงินเกือบทั้งหมดที่เรามี เหลือคือเศษสตางค์ค่ารถเมล์

ณ จุดนั้นเราเข้าใจคำว่า "เหนือคน" พระฉวีของพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระชนม์มายุประมาณ 62-63 ปีในตอนนั้นผ่องใสยิ่งกว่าคนบนดินอย่างเรามากนัก ยิ่งรวมกับพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงโปรดคนโดยทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะให้ร้ายหรือรักพระองค์ เรารู้สึกเลยว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยสารพัดธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ไม่เคยแบ่งแยกเขา-เรา หรือศาสนาใดๆ อีกด้วย

เราเคย Anti หนังสือหลายเล่มที่เสนอแง่มุมตรงข้ามความเชื่อของเราด้วยตั้งแต่ปี 1-2 วิวาทะกับเพื่อนในเฟส ที่สงสัยในมูลนิธิชัยพัฒนา เราเข้าใจนะว่าทุกคนมีสิทธิในการเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร และมีสิทธิเห็นต่าง เข้าใจว่าถามเพราะต้องการรู้ข้อมูล เราก็จัดข้อมูลให้ แต่ก็แสดงจุดยืนไปด้วยว่าเราเลือกข้างมาตั้งแต่เกิด... และเราก็เคยแรงถึงขนาดประกาศกับเพื่อนๆ ว่าจะไม่รับปริญญาบัตรหากไม่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ ...ดีว่าโชคเป็นของเรา

เราเคยอ่าน...น่าจะหนังสือเรียนภาษาไทย ม.ต้น เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สมเด็จพระราชินีฯ ตามเสด็จเยือนออสเตรเลีย วันนี้ได้อ่านอีกครั้ง [http://news.sanook.com/2087026/] ไล่ๆ กับที่ได้ดูคลิป [The Soul of Nation ของ BBC] และ [http://fccthai.com/items/1487.html] คิดว่าเป็นงานง่ายหรือในการทำให้คนเข้าใจและตระหนักในการมีอยู่ของประเทศหนึ่ง ขนาดตอนนี้ แม้แต่รุ่นเราบอกใครๆ ยังคิดว่า "ไทย" คือ "ไต้หวัน" และยังรับรู้แต่ในส่วนที่พวกเขาอยากจะเชื่อ

พระองค์ต้องทรงอดทนมากแค่ไหนในการสร้างประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโลก จากประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จัก หรือรู้จักในฐานะประเทศเล็กๆ ที่เป็นคนผิวเหลือง ด้อยพัฒนาและขยับมาเป็นกำลังพัฒนา มีธรรมเนียมแปลกๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจ และบางคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ให้พวกเขาเข้าใจถูกขึ้น 

สารคดีหรือเรื่องราวที่สื่อเผยแพร่ในประเทศและต่างประเทศหรือต่างค่าย ล้วนมีความแตกต่างกันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย และสื่อทุกสื่อมีหน้าที่เสนอข้อมูลข่าวสารจาก "มุมมอง" หรือ "วัตถุประสงค์" บางอย่างอยู่แล้ว นอกจากนี้ ด้วยความเป็นคนย่อมต้องติดสิ่งที่เรียกว่า "อคติ" ทั้งนั้น ไม่ว่าจะโดยความรู้สึกถูกชะตา หรือไม่เพราะอาจเคยมีกรรมร่วมกันมา ก็ต้องวางใจเป็นกลางแล้วคิดเสียว่า ทุกคนมี "Paradigm" ที่ติดตัวมาต่างกัน บางครั้ง การตอบโต้ด้วยการแก้ข่าว ชี้แจง ฯลฯ อาจไม่ดังเท่ากับการ "ทำให้เห็น" ซึ่งนั่น เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาตลอดพระชนม์ชีพ 

ประเทศไทยเปลี่ยนจากยุคที่มีอัตราผู้ไม่รู้หนังสือกว่า 70% เมื่อครั้งทรงขึ้นครองราชย์ เป็นวันที่ผู้ที่จบต่างประเทศและ high degree เต็มไปหมด ผลงานของคนไทยในระดับโลกมีมากขึ้นทุกที คนไทยมีความสามารถในการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องรอให้พระมหากษัตริย์มอบให้เหมือนแต่ก่อน ท่ามกลางยุคที่อาจมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยกลวิธีนานา โดยเฉพาะการขู่กันด้วยขีดความสามารถของขีปนาวุธ เราคิดว่าคงเป็นการเหมาะแก่สมัยแล้ว ที่ประเทศไทยจะมีกษัตริย์ผู้เป็นนักรบอีกครั้ง 

ขอพระองค์ผู้สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์และพระสยามเทวาธิราช คุ้มครองประเทศไทยด้วยเทอญ
 

บันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการเรียนครั้งนี้

- การยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น

- เป็นพี่ มีประสบการณ์มากกว่า ต้องรู้จักวิธีที่จะทำให้คนในทีม
  ที่ยังเป็นเด็กรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพออกมา หลายครั้งที่ถอดใจ
  แต่สองวันสุดท้าย น้องๆ ก็รีดพลังออกมาได้ดีมาก

- ยินดีกับทีมที่ได้ เพราะ present กันดี ข้อมูลรอบด้านมากๆ
  ถึงเราจะคิดว่ามันก็ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร แต่ก็นั่นแหละ
  เอาแต่พวกเราชอบ ใช่ว่ามันจะตรงกับเกณฑ์ของโลก

- เรายังต้องปรับปรุงการนำเสนอต่อไปเรื่อยๆ 555
  มันดีตรงนี้ การได้มาเห็นการนำเสนอของคนอื่น สุดยอดมากๆ

- ต้องจำคำของ อ.นิกม์ ไว้ "Pitch ได้ ไม่ได้การันตีว่านวัตกรรมนั้นจะไปรอด"
  วงการนี้ยังมีอะไรอีกเยอะ ที่หลายอย่างคนนอกอย่างเราก็ ....อืมมม

- สำหรับกลุ่มพวกเรา ดีใจที่ทำมาได้ขนาดนี้ ดีใจที่มีเพื่อนๆ ที่ไม่ได้พูดกันเลย
  มาบอกว่าเฮ้ย มันเจ๋งว่ะ หรือ กรรมการบอกว่ามันเกือบละ

พยายามต่อไป ไฟท์!

ปล. 1 รอบนี้ จำลองมุมมองของรางวัลใหญ่ได้ดีทีเดียว เพียงแต่เราอยู่คนละมุมมองเท่านั้นเอง
ปล. 2 ที่จริงเสียใจ 555
ปล. 3 ขอบคุณทุกเสียงที่ challenge ท้วงติง ที่จริงถ้าเราตอบทุกคำตอบก็จะกลายเป็นแถ
         บอกหมด ก็ง่ายต่อการ copy ยิ่งเรื่องพวกนี้ IP มันไม่แน่นหนา
ปล. 4 ขอบคุณน้องๆ ที่อาจจะงง ว่าแอพมันไปไกลกว่าที่กูคิดไว้มากว่ะ 555 พี่เป็นงี้เองฮะ
         แต่ไอเดียเจ๋งๆ มันจะผุดเอาตอนสุดท้ายนี่ล่ะฮะ 555
ปล. 5 ชอบภาพนี้ สงสัยต้องขอซื้อ ^^ ดีใจที่ทุกคนชอบเหมือนกัน ^^









To memorize 22.07.2016

Trust the dots, they will show you something at the right time in the right place.