ถ้าหนทางสู่การอยู่เหนือโลก (โลกุตตระ) คือการเพิกถอนซึ่งอัตตาตัวตน หรือพ้นไปจากมโนทัศน์เกี่ยวกับตน
วิถีของการอยู่ในโลก (โลกิยะ) ก็คือการสร้างตัวตน สร้างอัตมโนทัศน์ รวมถึงการสร้างภาพพจน์ ผ่านการรับรู้โลกภายนอกที่ถูกออกแบบไว้แล้ว ตีความสะท้อนกลับไปมาเป็นตัวตนของแต่ละคน


ภาพประกอบจาก http://readjournal.org/

ซื้อมาเมื่อปี 2554 ด้วยคำโปรย "....Technology of Self"

เป็นหนังสือที่ "ภาษาดีมาก ละมุนมาก เทพมาก" คือ
ดีงามสุดๆ ในแง่ของการใช้ภาษา อารมณ์ประมาณกินอาหารแล้วมันละมุนลิ้น คือฟินเฟร่อออ ^o^
ชื่อของคุณประชา สุวีรานนท์ คงการันตีคุณภาพอยู่แล้ว

เป็นไอดอลในการเขียนหนังสือของเราเลย เพราะใช้ภาษาสุดยอด เก็บแนวคิด ประเด็นเล็กประเด็นน้อยได้ครบถ้วน มีโทนครบทุกอารมณ์ สมศักดิ์ศรีนักวิจารณ์

อ่านๆ ไปก็จะอยากหาหนังสือที่รีวิวในเล่มมาอ่านโดยพลัน ^^







เล่มนี้คนเขียนมีความรู้ลึกซึ้งมากเกี่ยวกับคน หากผู้อ่านคุ้นเคยกับเรื่องการสร้างวาทกรรม, วัฒนธรรม, จิตวิทยา, การออกแบบ, พฤติกรรม จะอ่านเรื่องนี้ได้สนุกขึ้น

ใจกลางของเล่มนี้อยู่ในเรื่อง อัตมโนทัศน์ (self concept ซึ่งมีคำศัพท์ในกลุ่มอีกมากมาย ทั้ง self-construction, self-identity, self-perspective, self-structure)

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเล่มนี้รวมออกมาได้พอดี (ไม่แน่ใจว่าด้วยการวางแผนอย่างดีหรือไม่นะคะ) กับช่วงที่กระแสความบูมของ  "อะไรๆ ก็ I | Me generation"  ทำให้การทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเพลิดเพลิน ^^

เนื้อหาในเล่ม

หนังสือเล่มนี้ มี 5 ภาค (เยอะเนอะ)

ภาค 1 : Icon & Identity
>>  คูลฮันติ้ง ฟอร์บีกินเนอร์ | ปัจเจกชนยุคสุดท้าย? | ความกลัวออกแบบได้ | จรรยาบรรณกับการแต่งรูป | หน้าตาของศัตรู ที่อยู่ของเชื้อโรค
ภาค 2 : Style & Language
>> ดีไซน์ไม่ใช่นวัตกรรม | ดีไซน์สงครามกองโจร | เมื่อแบรนด์ถูกสร้างโดยกราฟิคดีไซเนอร์ | ดีไซน์มาก่อนหนังสือ สื่อมาก่อนสาร | เซ็กซ์ + สุรา = โฆษณาจิตใต้สำนึก
ภาค 3 : Information & Persuasion
>> ตัวเลขส่วนตนของคนธรรมดา | จากอณูสู่อนันต์ | ธรรมะหรือวิชามาร
ภาค 4 : Object & Desire
>>ถุงผ้า : เมื่อทางเลือกไม่ใช่ทางรอด | ศรัทธากับความสงสัย | มักง่ายหรือสร้างสรรค์ (แบบไม่ทันคิด) | วาทกรรมความสะอาด
ภาค 5 : Profession & Ethics
>> อหังการ์และคำประกาศ | รางวัลกับจุดยืนทางการเมือง | กราฟิกดีไซน์ : กิจกรรมหรือวิชาชีพ? | แปรวิกฤตให้เป็นการประกวด

ให้ทายว่า เราอ่านเรื่องไหนเป็นเรื่องแรก? ... ^^







[ล่าสุด ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เพิ่งตีประเด็นในเรื่องของการเก็บเงินค่าบำรุงการท่องเที่ยวบริเวณอุทยานแห่งชาติทางทะเล โดยเฉพาะบริเวณเกาะพีพีและอ่าวพังงา ติดตามได้ที่เพจ ดร.ธรณ์ ค่ะ]

เราเองเพิ่งไปแวะเกาะพีพีกับครอบครัว พีพีดอนเป็นเกาะที่มีจุดชมวิวสวยติดอันดับต้นๆ ของโลก
ซึ่งในวันนั้นด้วยเวลาอันจำกัด เราก็ไม่ได้ไปดู -_-"
แต่ทันทีที่เราขึ้นถึงพีพีดอน และจริงๆ ก็คงเป็นเหมือนทุกๆ เกาะที่เปิดให้ท่องเที่ยว
เราเห็น "การพัฒนา" มากมาย ที่เกิดขึ้นบนนั้น 
มุมมองและผลประโยชน์ที่ต้องการซึ่งไม่ตรงกัน 
ทำให้เราเรียกมันว่า "การทำลาย" เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ยานพาหนะที่พาเราไปถึงจุดหมาย แต่ก็ทำให้หาด (ที่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหรอกนะ) สกปรกจนน่าจะทำให้คนที่สัมผัส คัน หรือจนกระทั่งปวดแสบปวดร้อน

ป้ายโครงการพัฒนาภูมิทัศน์ของเกาะที่ระบุว่ามีมูลค่าประมาณ 10 ล้านเศษ หมายรวมถึงทางเดินและประติมากรรมอย่างที่เห็น...
สำหรับเรา มันเป็นตัวทำลายความงดงามของธรรมชาติมากกว่า
จริงอยู่ว่าคนที่ไปเที่ยว ไม่ได้มีแค่คนแบบเราที่ต้องการอะไรที่มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ชัดเจน เพราะเราคิดว่าเรามาเสพ "ความงามตามธรรมชาติ" มากกว่า "ความงามที่มนุษย์สร้างขึ้น"
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง เราคงเลือกที่จะอยู่ในเมืองแทน

แต่เรามองแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มที่เขาเลือกเสพคนละสิ่งกับเรา
จึงไม่ถูกต้องที่เราจะไปว่าคนอื่นนัก

จริงๆ แล้วถ้าเราเดินไปถึงจุดชมวิว ... เราคงได้เห็น "ความงามที่ธรรมชาติสร้าง" ที่มนุษย์ไม่มีวันทำให้เป็นแบบนั้นได้ แต่เพราะเราเดินไปไม่ถึง ด้วยข้อจำกัดที่เรามี เราจึงเห็นแต่ "สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น" เท่านั้น ตามภาพ



เหมือนกับปลายปี 2013 ที่เราไปปฏิบัติธรรมที่ลำพูน ... แล้วแวะไปซื้อโรตีที่นิมมานซอย 3 เราสลดใจมาก...
ที่เห็นว่า นิมมานกลายเป็นเหมือนผู้หญิงที่ถูกรุมโทรม
เธอเปลี่ยนไปมากจาก ปลายปี 2010 ที่ตอนนั้นแสนจะสดใส...นี่ขนาดเป็นชุมชนเมืองนะ
แล้วอุทยานแห่งชาติหลายๆ แห่งจะเป็นอย่างไร?

เราเคยคุยกับพี่ๆ เกษตร ซึ่งทำให้จุกมาก...เพราะพี่ๆ ให้เหตุผลว่า ทันทีที่ไม่สนับสนุนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและปลูกตามๆ กัน เกษตรกรทั้งหลายก็จะบอกว่า จะไปขัดขวางไม่ให้เขารวยเหรอ? เขาก็อยากรวย อยากส่งลูกเรียน M (BA) เหมือนกับทุกๆ คน นั่นแหละ...#การท่องเที่ยวก็เช่นกัน

เราไม่ได้ต่อต้านการพัฒนา...เราไม่ได้คิดว่าการกระตุกให้คิดเรื่องนี้จะเป็นเรื่องการ "ไม่อยากให้ชาวบ้านเจริญ" และเราก็ไม่ได้เชื่อในการทำงานของ NGO ระดับโลกบางแห่ง ... แต่เราเชื่อว่ามีวิธีการพัฒนาที่ยังคงรักษาความงดงามตามธรรมชาติไว้ได้อย่างสมดุลด้วย เพียงแค่เลิกอ้างว่างบไม่พอ แล้วขอให้พยายามคิด มันมีวิธีการอยู่แล้ว และหลายที่เขาก็ทำได้ดี

แต่ให้เราไป "อยู่และดำรงชีวิตแบบธรรมชาติ" จริงๆ เราก็คงอยู่ไม่ได้หรอกนะ
ยังไงเราก็ยังมีความเป็น "คนเมือง" สูงอยู่ดี






ชื่อเรื่องแรงจุงเบย 555

เราเป็นคน "อิน" กับเรื่องผู้พิการทางสายตาค่ะ มากๆ
เพราะลึกๆ แล้วเรากลัวว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็นอย่างนั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้น โลกของเราจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน
เราจะมีชีวิตอยู่ยังไง?

ตอนมัธยมต้น เคยอ่านเรื่องสั้น "นรกที่สวรรค์ลืม" ของ มรว.คึกฤทธิ์
คืออินอีก ใจความสำคัญก็คือ การที่เราไม่สามารถมองเห็นแล้วเราใช้จินตนาการ
โลกมันช่างสวยงามเหลือเกินอ่ะ
แต่ทันทีที่ตาของเรามองเห็น...โลกมันกลับไม่เป็นเหมือนอย่างที่เราจินตนาการไว้


มันช็อคนะ สู้เรากลับไปมองไม่เห็นดีกว่ามั้ย 555 เออ...แล้วเรื่องนั้นก็ยังฝังใจอยู่เรื่อยๆ

(จริงๆ แล้วอาจจะเพราะเรามีความบกพร่องที่สายตาสั้นมากๆ ด้วยก็ได้ค่ะ เลยอินจัด)

เมื่อปีที่แล้ววันที่ 1 พ.ค. ไปเที่ยวงานสถาปนิก 57 และงานจักรยาน กับหลานและเพื่อนรัก
เรากับหลานก็หมกมุ่นกับการ "ทดลอง" หลายๆ อย่างในงานที่เปิดให้ลอง
ทั้งการยุยงให้หลานขี่จักรยานผาดโผน การทดลองเป็นคนตาบอด ขาดก็แต่การทดลองเป็นผู้สูงอายุ
ที่ต่อคิวยาวมากกก เกรงใจเพื่อนที่รอ

การขี่จักรยานผาดโผน บนพื้นที่จำลองเล็กๆ ต้องอาศัยความกล้าของเด็กคนนึงพอสมควร
ที่จะไปทดลอง แน่นอนว่าป้าดันอยู่หลายรอบ
รอบแรก กอล์ฟล้ม ... แต่ทีมงานให้กำลังใจดีมาก เพราะพิธีกรบอกว่า
"มันคือการเรียนรู้ครับ" ทำให้กอล์ฟไม่กลัวที่จะเริ่มอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตาคนตั้งมากมาย ^^

การเป็นคนนอกอย่างเรา อาจจะมองว่ามันง่าย แต่การบังคับรถในที่ๆ ไม่คุ้นเคย
พื้นที่ที่ไม่ใช่ทางเรียบ เด็กอย่างกอล์ฟก็คงรู้สึกหวั่นๆ เลยทำให้ครั้งแรกของเขาพลาดไป จุดนี้สอนให้เรารู้ว่า
"การให้กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาคน" ^^

ที่สนุกกันมากทั้งป้าหลาน คือ การทดลองเป็นคนตาบอด ใช้ชีวิตในบ้านจำลองที่ออกแบบเพื่อคนตาบอด แต่เราต้องใส่ผ้าปิดตาก่อนแล้วใช้ไม้เท้า คลำทางเปะปะไป เล่นกัน 3 รอบ
จนพี่ๆ ที่ดูแลพื้นที่ขำป้ากับหลานมาก ^^" อยู่เลยมั้ย? 555+
คือมันก็ดีนะ แต่คงเพราะเป็นแบบจำลอง เลยแข็งๆ ความสวยงามคิดว่าคงไม่ต้องมี
เพราะเมื่อตารับรู้ไม่ได้แล้ว อาจไม่ต้องสนใจความสวยงามทางสายตา

เราติงที่ข้อนี้แหละ...

จริงหรือที่ว่าคนตาบอดไม่สนใจ "ความงามทางสายตา" ?

เพราะจากการเก็บข้อมูลของทีมออกแบบ The Bradley ที่มีจุดยืนว่า

"It's the only wristwatch out there that lets you feel time"

ซึ่งเพิ่งรู้จากข้อมูลจริงว่า คนที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นยังมีความต้องการ
ข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงามเหมือนคนปกติใช้กัน ไม่ใช่ข้าวของที่แบ่งแยก
"ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็น" ออกจาก "คนปกติ"

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพื่อการมองเห็นของเขา
แต่มันเพื่อการมองเห็นของคนอื่น ที่สะท้อนมายังเขาอีกทีต่างหาก
เพราะถึงเขามองไม่เห็น แต่เราเชื่อว่าเขารู้สึกได้
ว่าคนอื่นมองเขาด้วย "ความรู้สึก" อย่างไร


วันนี้ (24 เม.ย. 58) จากการคุ้ยเรื่องสั้นของ มรว.คึกฤทธิ์ เราไม่เจอเนื้อเรื่องที่เราต้องการ
แต่เราเจอมุมมองที่น่าสนใจมุมมองหนึ่ง
http://www.baanmaha.com/community/thread19376.html


ใครกันแน่ที่ตาบอดเพราะความรัก

คุณเคยเห็นคนตาบอดมั้ย?

คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่
คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ เช่น ตลาดนัด
พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า...
คงจะมีคนใจบุญไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง
คนสองคนที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด...ทีละนิด...
เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่...
นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆ เครื่องนึง
กับไมค์อีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้คือขันอลูมิเนียม...
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน...

ผมไม่คุ้นหูกับเพลงที่เขาร้องนักหรอก...
แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...
และดูเหมือนเขาก็หวังว่าคุณจะต้องชอบมัน
ผมเห็นเขาจับมือกัน...
วินาทีนั้น...ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด

คุณเคยนึกถึงความรักของ "คนตาบอด" หรือเปล่า?
คนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ?
เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า คนรักของเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร
คนตาบอด จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น...
เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน...ไม่มีเกียรติยศ-ศักดิ์ศรีให้กังวลใจ
เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้...
ต่างคน ต่างก็ไม่มีเงิน...ตาสองข้าง ปิดสนิท แต่ "เปิดใจ" เข้าหากัน

คนสองคนที่อยู่ด้วยกันด้วย "ใจ" ล้วนๆ ความรัก...ก็เกิดจากตรงนั้น...

คนตาบอด พาคนที่เขารักไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง
คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก
คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน และกลับถึงบ้านพร้อมกัน
พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ?
คุณรู้หรือเปล่า...คนตาบอดจับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน
คุณเคยทำอย่างเขาบ้างมั้ย?

ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...
หลายๆ คนมีเกียรติยศ หน้าที่การงาน ที่ดีเหลือเกิน...
หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งฉลาด
แต่พวกเราหลายๆ คนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...
หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน...เพื่อที่จะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น
เอ...พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก...มากเกินไปหรือเปล่านะ?

อนาคตของคนตาบอดอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...
ดูเหมือนเขาจะสงสัยก็เพียงแต่ว่า...
วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญสักกี่คน ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข...

ตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้อยู่ พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว
พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆ เหมือนผมหรอก คุณว่ามั้ย??
ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆ ในวันนี้...


ผมเชื่อว่าครั้งหน้าที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น...คุณอาจเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ...เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...


ขอบคุณคนตาดี ที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ ^^


ดีนะที่เราแค่สายตาสั้น ไม่ได้ตาบอด (ตามเพลงนี้นอกจากตาบอดแล้วยังเฉียดนรกด้วย) 555+









ที่พักน่ารักแนว Fancy ที่หาดทรายรี ชุมพร Staff (น้องเปิ้ล+คุณแม่+เจ้าคิ้วบ์ สต๊าฟสี่ขา) น่ารักมากกก ดูแลแขกที่พักดีสุดๆ ราคาไม่แรง มองเห็นหาดทรายรีและเดินเล่นได้ชิลล์ๆ

จุดแข็งของที่นี่คือติดหาดทรายรีและใกล้ศาลกรมหลวงมากๆ ค่ะ เดินถึง ร้านอาหารหาได้ไม่ยากนัก เราว่าทำเลดีกว่า Novotel นะคะ เพราะอันนั้นอยู่ไกลหาดมากกว่า และมีลูกเล่นเยอะกว่าค่ะ Novotel เค้า business อ่ะเนอะ จุดเด่นคืออาหาร 555+ (เดี๋ยวไปหารูปเก่าๆ มาเพิ่มแล้วกันนะ)

ราคา : ห้องเล็ก 2,000 บาท พักได้ไม่เกิน 3 คน มีหลายรูปแบบค่ะ วันที่ไปพักได้ห้องชื่อ polka dot ธีมการแต่งห้องก็จะชัดเจนตามชื่อเลย 
ห้องขนาดใหญ่ 4,000-4,400 บาท ที่มีห้องเล็กในนั้นอีก 2 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง ลักษณะจะเป็นการนำห้องแถวหนึ่งคูหามาจัดเป็นห้องแฟมิลี่ค่ะ  

น้องเปิ้ลบอกว่า ช่วง High season ที่พักเต็มตลอด จองยากนิดนึง แต่ช่วง low season ที่พักจะว่างเสมอค่ะ เหมาะกับครอบครัว หรือเดอะแกงค์ที่โหยหาที่พักบรรยากาศดีๆ ริมทะเล Theme หลักเป็นปราสาททราย และห้องพักแบบต่างๆ แตกต่างกัน ที่น้องเปิ้ลบอกว่า จะอัพเดตมุมเก๋ๆ ไว้รับแขกต่อไปค่ะ  

ตัวอย่างภาพตามมุมที่พอจะถ่ายได้นะคะ 
(คืออายอ่ะ ภาพไม่ค่อยสวย เพราะเป็นภาพคนซะเยอะ ^^" จะไม่ลงก็เกรงใจคน search เข้ามาเจอ) 

นี่ขนาดอาย 555+ 
หน้ากากอัศวิน วิธีใช้ตามที่เห็นในภาพด้านบน ด้านซ้ายคือ pantry แบบ Fancy
ถ้าหมอนเป็นรูปไพ่นะ คิดว่าตัวเองเป็นอลิซเบย

กุญแจห้องเก๋ๆ

กุญแจห้องค่ะ น้องเปิ้ลบอกว่า จะสวยมากถ้าเรียงรายครบถ้วนอยู่บนประตูที่หนักมากกก นั้น

เบื้องหลังความสะดวกสบายที่เราได้รับคือสองคนนี้ ^^


มุมมองจากชายหาดข้างบนเป็นดาดฟ้าเดินเล่นได้ มีมุมถ่ายรูป ^^

มองจากด้านบน สวนตกแต่งเป็นกำแพงปราสาท จัดเป็นมุมรับประทานอาหารค่ะ ^^


Family Room ที่ใช้ตึกแถว 1 คูหามาดัดแปลง

ประตูหนักมากกกก บอกเลย ถ้าจะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนเวลาเปิด

น้องเปิ้ลที่ถูกคุณแม่ (ผู้ต้องการให้ลูกสาวกลับบ้าน) สร้างงานไว้ให้ดูแล
เหมือนใครก็ไม่รู้เนอะ ^^

มุม chic ใครๆ ก็ต้องมาแชะที่มุมนี้ ^^
เราพักห้องที่ป้ายสีม่วง ชื่อ Polka Dot ค่ะ


ไม่ได้พักห้องนี้หรอกค่ะ แต่หน้าห้องสีสวยดี เลยขอแชะสักหน่อย

ภายในห้องพัก เตียงนอนดูดวิญญาณมาก
น้องเปิ้ลบอกว่าตอนเลือกนี่ต้องลงไปนอนกลิ้งๆ ก่อนว่าอันไหนนอนสบายสุด
สามภาพบนเป็นภาพภายในห้อง Polka Dot ค่ะ ม่านชัดมาก ^^
โทนสีภายในเป็นขาว-ดำ-ไม้ มีเจ็บๆ สองจุดคือ ประตูทางเข้าและห้องน้ำค่ะ
ล่างสุดเป็นภายในห้อง Family Room ค่ะ


ภายในห้อง Family Room มีห้องนอนย่อย 2 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง อยู่ด้านล่างค่ะ

มุมรับประทานอาหารค่ะ เก๋เนอะ สวยมากกกก ชอบๆ 


ซ้ายบนเป็นทางขึ้นดาดฟ้ากับนางแบบของเราค่ะ ขวาบนถ่ายตอนพระอาทิตย์ขึ้น
ด้านล่างคือบริเวณ Front ก่อนเข้าห้องรับประทานอาหารค่ะ


หาดทรายรี...ณ หน้าที่พักเลยค่ะ เป็นหาดที่สวยและสงบ ถึงมีคนบ้างแต่ก็เป็นส่วนตัวดีค่ะ


ขอบคุณน้องเปิ้ลนะคะ ประทับใจในอัธยาศัยสุดๆ อธิบายทุกอย่างเลย ^^
ในภาพกำลังแนะนำร้านอาหารค่ะ น่ารักจริงๆ ใครผ่านไปถึงชุมพร อย่าลืมแวะไปพักนะคะ


มากกว่ารู้จัก คือดักใจ "ดักอย่างไร?"
ใน Psychic marketing 01 บอกไว้ว่า คนที่ดูเหมือนจะมีความสามารถในการเดาเก่งเป็นพิเศษ จริงๆ เป็นเพราะเขามีคลังข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์มากมายอยู่ในหัว หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในคลังที่ว่านั่น ^^

Kent Wertime หนึ่งเซียนในวงการโฆษณาและการสื่อสารที่หน้าที่ล่าสุด ณ ตอนที่เขียนเป็น CEO OgilvyInteractive Asia จัดเป็นคนที่มีคลังข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์มากมายคนหนึ่ง และเขาบอกว่าแก่นของหนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น เรื่อง "การติดต่อกับจิตใต้สำนึกของผู้บริโภค" !!!

สร้างแบรนด์ด้วยศรัทธา (ฺBuilding Brands & Believers : How to connect with consumers using archetypes) อ่านกันวางไม่ลง แนวนิยายแฟนตาซีเหมือนไม่มีอะไร แต่คิดตามๆไป อืม...จริงแฮะ 555+

ฉบับที่มีอยู่เป็นของสำนักพิมพ์ ผู้จัดการ ณ พ.ศ. 2546

ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ : ในขณะที่หนังสือเล่มอื่น เล่นกันถึงเรื่องวิธีการสื่อสาร แต่เล่มนี้เล่นกันที่ระดับจิตใต้สำนึก เพราะคำโปรยบอกว่า การทำความเข้าใจการทำงานของจิตใต้สำนึกจะทำให้คุณสามารถจูงใจผู้บริโภคได้ดีขึ้น

อ่านเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์มาหลายเล่ม เล่มนี้โดนที่สุด!
จริงๆ แล้วมันใกล้เคียงกับสัญญศาสตร์ (Semiotics)
(อ่านเพิ่มเติม สัญญศาสตร์ สัญลักษณวิทยา)

ตอนซื้อหนังสือเล่มนั้น ซื้อเพราะความสงสัยว่าทำไมโฆษณาเหล้าถึงได้มีพลังนัก แล้วทำไมโฆษณานมถึงดูอ่อนปวกเปียก (จริงๆ พอพูดถึง คำว่า "เหล้า" กับ "นม" มันก็ให้ความรู้สึกเป็นเบบี๋ของอย่างหลังแล้วเนอะ นั่นแหละ นมถึงไม่เคยชนะเหล้าไง! ถึงไวตามิลค์จะพยายามเท่ขนาดไหนก็มีพลังได้ไม่เท่ากับเหล้า และตระกูลแอลกอฮอล์ ที่เห็นแค่สี ก็น้ำลายไหลแล้ว)




รูปเล่ม 

หนังสือเล่มนี้มี 264 หน้ารวมปก กระดาษถนอมสายตา (เอ๊ะ หรือเพราะเก่าแล้ว 555+)
แบ่งเป็น 4 ภาคและหนึ่งบทนำ


เนื้อหาในเล่ม

บทนำ โลกของสายสัมพันธ์
"งานของผมคือขายทุกอย่าง...สิ่งที่จู่โจมผมมากที่สุดไม่ใช่ความแตกต่างของสินค้าแต่เป็นความแน่นอนของกระบวนการขายที่ประสบความสำเร็จ...จุดที่สำคัญกว่า (เทคนิคการขาย) คือการลงลึกไปถึงระดับที่ว่าทำอย่างไรกระบวนการโน้มน้าวจูงใจคนจะได้ผล สิ่งที่ทำให้นาฬิกา รถยนต์ รองเท้า สามารถสร้างสายสัมพันธ์ถึงคนได้"

จนด้วยประโยคที่จะเขียน คือขายเก่งมาก ให้ตายยยย น่าอ่านตั้งแต่บทนำ

ภาค 1 ตลาดภาพลักษณ์ หลังจากที่ร่ายมนต์ใส่เราไปในบทนำว่าในโลกของสายสัมพันธ์มันมีความเชื่อมโยงระหว่างคน สังคม กับตำนานที่เมื่อสังเกตจะเห็นว่ามันมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่ "ทั่วโลก" ภาคนี้ว่าด้วย "เศรษฐกิจภาพลักษณ์" นิยามของ Image Economy ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เม็ดเงินคร่าวๆ และ Celebrity endorsement ความบ้าดาราของพวกเราสร้างเม็ดเงินมหาศาลได้อย่างไร "เครื่องจักรแห่งการเติบโต" เล่าถึงสิ่งที่เป็นแนวโน้ม ตัวกำหนดความเติบโตของ Image Economy "ปะทะกำแพงภาพลักษณ์" ความท้าทายของกระแสเชี่ยวกรากของเศรษฐกิจภาพลักษณ์ที่มีกระแสหลัก ก็ต้องมีแนวต้าน  "กระบวนการจูงใจ" ที่จะทำให้แบรนด์ของคุณยืนอยู่ได้อย่างสง่างามในกระแสเศรษฐกิจภาพลักษณ์ แอบจิกกัดการวิจัยทางการตลาดเล็กๆ น้อยๆ ว่าเอาแต่ทำความเข้าใจ
"ไม่ได้มีการสร้างรูปแบบการติดต่อใหม่ๆ กับกลไกทางจิตใจภายในของผู้บริโภค"  

ภาค 2 เชื่อมโยงเทพนิยาย ใครไม่เคยฟังนิทาน นิทานปรัมปรา เทพนิยาย หรือตำนานบ้างยกมือขึ้น สมัยนี้คงมีเยอะ แต่สมัยก่อนนี้ต้องได้ฟังกันแหละ ภาคนี้ค่อยๆ บอกเราว่า "รหัสต้นฉบับ -The Source code" คืออะไร เราถูกผูกโยงเข้ากับรหัสต้นฉบับได้อย่างไร ภาษาดั้งเดิมใช้คำว่า เราถูกขัดเกลาด้วยกระบวนการทางสังคมอย่างไร (socialization) ณ จุดนี้ Mr.Wertime อ้างอิงถึงการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเล่าพื้นบ้านและนิทานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญลักษณ์ต่างๆ ในเทพนิยาย ว่าเป็น "ผลิตผลโดยธรรมชาติของจิตใจ" ที่ปรากฎออกมาจากจิตไร้สำนึก
ซึ่งถ้าเราจะสังเกต...เราจะไม่เคยพบต้นตอของที่มา บางทีก็พบว่าเรื่องนั้นก็คล้ายกับเรื่องนี้ บางทีก็ตัดสินไปเองว่าแหล่งที่ดูด้อยอารยธรรมกว่าต้องเป็นฝ่ายลอกแน่ๆ ทั้งที่แต่ก่อนการลอกข้ามประเทศ ข้ามวัฒนธรรม ไม่ได้เกิดกันได้ง่ายนัก
จากนั้นก็ชี้แนะถึง "การสร้างเทพนิยายสมัยใหม่" หรือการสร้างวาทกรรมเพื่อกล่อมเกลาคนในสังคมที่เป็นเป้าหมาย ต้องทำอย่างไร ต้องใช้อะไร

ภาค 3 โฉมหน้าลี้ลับ (Mythic Profile) ภาคนี้เป็น Highlight ของเล่มเลย แหม...ไม่อยากจะบอก 555+ อยากให้ไปหาอ่านกันเอง ... ผู้เขียน (Mr.Wertime) บอกว่า รหัสต้นฉบับ (Archetype) ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์โลกมีอยู่ 12 ตัวแบบด้วยกัน ได้แก่ ...


1.   สุดยอดแข็งแกร่ง (The Ultimate Strength) : ความเป็นนักสู้ที่มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน ความต้องการที่จะท้าทาย พิสูจน์ และอดทน

2.   นางพราย (Siren) : ตัวแทนของเซ็กซ์ การทำลายล้าง ความต้องการดึงดูด และถูกดึงดูดจากผู้อื่น

3.   วีรบุรุษ (Hero) : ตัวแทนของผู้ชนะ ความมุ่งมั่น ความสำเร็จ

4.   ผู้ร้าย (The Anti-Hero) : ตัวแทนแห่งด้านมืดในตัวเรา การทำลายล้าง แรงดึงดูดของความชั่วร้าย

5.   ผู้สร้าง (The Creator) : ตัวแทนของแรงบันดาลใจที่ดูจะติดมากับอำนาจล่องหน ที่จะก่อให้เกิดการสร้างอะไร "ใหม่ๆ"

6.   เจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลง (The Change Master) : ตัวแทนของพระเจ้าในตัวเอง หรือความสามารถในการควบคุมชะตาชีวิต มันเชื่อมโยงแนบแน่นกับ "สุดยอดเคล็ดวิชาของกูรู"

7.   ตัวแทนอำนาจ (The Powerbroker) : ตัวแทนของความเป็นนายในตัวเราทุกคน สื่อถึงแรงขับไปสู่ความมีอำนาจและอิทธิพล

8.   อาจารย์ปราชญ์ (The Wise Old Man) : ตัวแทนสากลของผู้มีประสบการณ์ การฟูมฟักและดูแลผู้อื่น ผ่านการให้คำแนะนำ ในฐานะที่ปรึกษา

9.   ผู้ภักดี (The Loyalist) : ตัวแทนของเพื่อนและผู้รู้ใจ ความไว้วางใจ มั่นใจได้แม้ในยามยาก ความต้องการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น

10. พระแม่โพสพ (The Mother of Goodness) : ตัวแทนของความบริสุทธิ์ การเลี้ยงดู ความอบอุ่นของมารดา ความต้องการรักษาความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้

11. เจ้าเล่ห์น้อย (The Little Trickster) : ตัวแทนของอารมณ์ขัน การออกนอกกรอบ (non-conformist) และความน่าประหลาดใจ

12. ปริศนา (The Enigma) : ตัวแทนของความลี้ลับ ความไม่แน่นอน ความสงสัย แหม...นึกถึงหนังเรื่อง Imitation Game แต่เครื่อง Enigma นี่มันสุดยอดจริงๆ นะ


อ่านย่อๆ อย่างนี้ บางทีเราก็สับสนว่าตัวแบบอะไรคืออะไร เพราะบางอันมันซ้อนทับกันอยู่ แต่ถ้าหาหนังสือมาอ่านจะร้อง อ๋อ...ทันที

"ภาพลี้ลับในการเชื่อมผนึกในวัฒนธรรมท้องถิ่น" บอกเราว่า โฉมหน้าต่างๆ เป็นตัวเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม อีกนัยหนึ่งก็คือ การใช้ตัวแบบข้างต้นทำให้ลดข้อแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมลงไปได้ ประหยัดงบประมาณและเวลาของแบรนด์ข้ามชาติ (บางส่วน)

ภาค 4 ใช้ประโยชน์จากต้นแบบ "จัดการสิ่งที่สัมผัสไม่ได้" Kert ได้ให้เครื่องมือที่จะทำความเข้าใจคนและสำนึกร่วมของคนไว้แล้ว ในบทนี้เป็นการย้ำว่า "ต้นแบบคือแหล่งอำนาจที่มองไม่เห็น" ดังนั้นบริษัทต้องมีการบริหารจัดการเพื่อสร้างและรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ "ปรับปรุงการเชื่อมโยงต่อผู้บริโภค" โดยให้ความสำคัญกับการเข้าใจลูกค้า การมีเครื่องมือในการช่วยทำความเข้าใจลูกค้าอย่างต้นแบบต่างๆ หรือความรู้เกี่ยวกับการจำแนกคนในแบบต่างๆ การปรับปรุงความเชื่อมโยงของสารโดยใช้ตัวแบบเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมาย Mr.Wertime บอกวิธีการไว้ค่อนข้างละเอียดพอที่จะเอาไปปรับใช้ได้เลยทีเดียว

ส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวแบบทั้ง 12 มี Position ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า วัตถุ 1 อย่าง อาจถูกรับรู้ได้หลายแง่มุม ในเรื่องคนอาจจะเบลอๆ กันได้ แต่เรื่องการสื่อสารการตลาด คุณไม่ควรพลาด!


มาถึงตอนนี้ เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เป็นเพราะค้นหา เราจึงเห็น จึงสร้างหลักฐานมาสนับสนุนความเห็นนั้น หรือเป็นเพราะมันเป็นของมันจริงๆ อยู่แล้วกันแน่ ?

มีหนังสืออีกเล่มที่เกี่ยวข้องกัน entry ถัดๆ ไปจะมาคุยให้ฟังคร่าาาา