เปิดหัวเรื่องด้วยชื่ออัลบั้มล่าสุดของศิลปินโปรดกันเลยทีเดียว 555+

เมื่อเช้าคุยกับน้องชาย (ซึ่งก็เพิ่งผ่านวันเกิดไปไม่กี่วัน แก่ๆ กันแล้ว) ก็คุยกันเรื่อง "โค้งปกติ"...ว่า




คนบนดินอย่างเราไม่มีวันรู้ "แผนของเบื้องบน" เพราะอยู่กันคนละระนาบ

เฉกเช่นที่ถ้าเราไม่มองจากมุมสูง เราก็จะไม่เห็นเลยว่า
คนที่วิ่งมาราธอนวิ่งตามๆ กันกระจายเป็นโค้งปกติ 
(วันก่อนเราอยู่ -2sigma -_-")

รถที่วิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนน ถ้าตัดช่วงที่ถนนยาวพอประมาณวิ่งได้สัก 1 ชั่วโมง
มันจะเห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า โค้งปกติ ^^ 

อันนี้ก็เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง

งั้นก็มาคุยกันเรื่อง "ธรรมชาติ" กัน




วันเพ็ญขึ้น 15 เดือน 6 นี้ เด็กๆ ก็จะถูกสั่งสอนให้รู้และเรียกวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา และเป็นวันสำคัญอย่างไรคะเด็กๆ ???? 

เราก็ตอบกันเจื้อยแจ้ว ... เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานค่ะคุณครู ...[เสียงยานคางงงง] แล้วในหัวก็จะมีเสียงเล็กๆ ถามกับตัวเองเสมอว่า...แล้วยังไงอ่ะ??

ในราวปี พ.ศ. 2542 สหประชาชาติได้มีมติให้วันนี้เป็นวันสำคัญของโลก เชียวนะ!

ปีนี้วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน เพราะปีนี้มีเดือน 8 สองหน ปกติวันนี้จะต้องอยู่ในเดือน พฤษภาคม (รู้สึกว่าวันหยุดมาถึงช้าาาา ...ไม่ใช่!)

ตัดมาที่ตอนโตเลยละกัน ...

ในมุมมองของเรา วันนี้เป็นเหมือนวันที่ระลึก ถึงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ... แต่สิ่งที่ทำให้คนธรรมดาคนนี้ ไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่ปาฏิหารย์ที่เกิด ตรัสรู้ และตายในวันเดียวกันเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าคนๆ นี้มีความรู้ที่ลึกซึ้งมาก ขนาดที่ถึงระดับรู้ "ใบไม้ในป่าทั้งป่า" 

ว่าโดยย่อ ... วันวิสาขบูชาคือวันที่ธรรมชาติเล็กๆ กับธรรมชาติใหญ่ๆ หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นวันที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะ "รู้"



นอกจากจะรู้แล้ว พระพุทธองค์ยังได้พากเพียรถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้รู้ตามในประเด็นสำคัญๆ ที่เห็นว่ามันจะเป็นการพ้นไปจากการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ บอกวิธี บอกเคล็ดลับ และย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าใครอยากจะไปถึงเป้าหมายเดียวกัน ก็ไม่มีหนทางลัดสั้น ต้องทำ ต้องปฏิบัติด้วยนะ มันถึงจะอิน [จะเรียกว่าพ้นทุกข์หรือออกจาก matrix ก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกเนอะ]

"I'm trying to free your mind, Neo. But I can only show you the door. You're the one that has to walk through it" Morpheus

พระสมณโคดมเลือกมาสอนเพียงไม่กี่ประเด็น ซึ่งเป็นแค่หยิบมือเดียวจากใบไม้ทั้งหมดในป่า โดยพระอัสสชิสรุปสิ่งที่ท่านสอนตอบพราหมณ์อุปปติสสะ (พระสารีบุตร) ไว้อย่างงดงามว่า  ...
"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้"
พระไตรปิฎก เล่มที่ 4 พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 1


Credit : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?

-------------------------------

ความรู้ทั้งหมดที่พระพุทธองค์รู้ ที่ว่าเหมือนใบไม้ในป่าทั้งป่านั้นคืออะไร? ความรู้ที่ว่านั้นก็คือ ความรู้เกี่ยวกับ "กฎของธรรมชาติ" พระท่านเรียก "นิยาม" ซึ่งมีอยู่ 5 อย่าง 

มีอะไรยังไงบ้าง? มีธรรมนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม กรรมนิยามและจิตนิยาม 

1) ธรรมนิยาม (general laws) : ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ล้วนมีลักษณะร่วมกัน 3 อย่าง คือ 
  • ทุกขัง (pain) - ความบีบคั้น ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความคับแค้นใจ ซึ่งเป็นแรงผลักทำให้วงจรปฏิจจสมุปบาทหมุน...เฉพาะในสิ่งมีชีวิตที่มีจิต ถ้าเป็นก้อนหิน ดิน หรือเซลล์อย่างต้นไม้จะเรียก tension หรือ stress พวกความเค้น ความเครียด ที่เป็นแรงผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   
  • อนิจจัง (impermanence) - การเปลี่ยนแปลง แบบ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป (กราฟจะเหมือนโค้งปกติแหละ  แต่ไม่ใช่นะ  LoL) 
  • อนัตตา (egolessness and non-substantiality) - การไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวร ที่จะสามารถควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นของอะไร มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดา     

2) อุตุนิยาม (physical laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ซึ่งถ้าจัดกลุ่มตามวิชาฟิสิกส์ จะแยกได้เป็น กลุ่มของแข็ง (Solid mechanics) หรือธาตุดิน กลุ่มของไหล (Fluid mechanics) หรือน้ำ ลม และไฟ กลุ่มอากาศ (Space)  สุญญตา ที่ว่าง (เวลาปฏิบัติต้องนั่งดูพวกนี้ในตัวเราแหละ...มันเป็นเรื่องธรรมชาติ) 

[ในหลวงทรงพระปรีชาในกฎนี้ระดับเทพที่เรียกน้ำได้เลยนะ ^^]


Credit : ThaiGoodView.com

3) พีชนิยาม (biological laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์ อันนี้จะใหญ่และซับซ้อนขึ้นมาอีกนิด เพราะมันเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์และสืบต่อข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งถูกทำให้เป็นระบบ ระเบียบ ด้วยกลไก "ธัมมตา 3" คือ สมตา - การปรับสมดุล, วัฏฏตา - การหมุนเวียน และชีวิตา - การมีหน้าที่ต่อกัน (โค้งปกติและทฤษฎีแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางมีประวัติการค้นเจอจากตรงนี้ แนะนำอ่าน ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต ค่ะ ^^) 


4) จิตนิยาม (psychic laws) : กฎธรรมชาติที่เป็นกลไกการทำงานของจิต โดยในพุทธศาสนาเรื่องจิตจะมีอธิบายไว้เยอะมาก ทั้งส่วนย่อ ไว้ให้เข้าใจและปฏิบัติตามได้ กับส่วนละเอียดที่มีอยู่ในพระอภิธรรม เพราะเรื่องจิต (Mind) นี้เป็นเรื่องสำคัญของคน รายละเอียดเกี่ยวกับจิตจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวจิต (Mind) ที่เป็นเหมือนน้ำเปล่าในภาชนะ และเจตสิก (Mental factor, mental concomitants) ที่เป็นเหมือนสีที่ใส่ลงมาผสมกับน้ำ ทำให้เกิดเป็นน้ำสีต่างๆ มี 52 อย่างด้วยกัน



จิตอย่างเดียวจะไม่สะท้อนอะไร จนเมื่อมีเจตสิกมาอยู่ด้วยจะทำให้เกิดสิ่งที่เราคุ้นเคย ที่เรียกว่า ผัสสะ (contact) เวทนา (feeling) สัญญา (perception สัญญาคือ การจำได้หมายรู้ รับรู้ แยกแยะได้ค่ะ) เจตนา (volition or will) เอกัคคตา (concentration) ชีวิตินทรีย์ (vitality) มนสิการ (attention) วิตก (thought conception) วิจาร (discursive thinking) อธิโมกข์ (determination) วิริยะ (effort) ปีติ (joy) ฉันทะ (zeal) โมหะ (delusion) อหิริกะ (shamelessness) อโนตตัปปะ (lack of moral dread) อุทธัจจะ (restlessness) โลภะ (greed) ทิฏฐิ (wrong view) มานะ (conceit) โทสะ (hatred) อิสสา (envy, jealousy) มัจฉริยะ (stinginess) กุกกุจจะ (worry) ถีนะ (sloth) มิทธะ (torpor) วิจิกิจฉา (doubt) สัทธา (faith) สติ (mindfulness) หิริ (conscience) โอตตัปปะ (moral dread) อโลภะ (non-greed) อโทสะ (non-hatred) ตัตรมัชฌัตตตา-อุเบกขา (equanimity) กายปัสสัทธิ (tranquillity of body) จิตตปัสสัทธิ (tranquillity of mind) กายลหุตา (agility of mental body) จิตตลหุตา (agility of mind) กายมุทุตา (elasticity of mental body) จิตตมุทุตา (elasticity of mind) กายกัมมัญญตา (adaptability of mental body) จิตตกัมมัญญตา (adaptability of mind) กายปาคุญญตา (proficiency of mental body) จิตตปาคุญญตา (proficiency of mind) กายุชุกตา (rectitude of mental body) จิตตุชุกตา (rectitude of mind) สัมมาวาจา (right speech) สัมมากัมมันตะ (right action) สัมมาอาชีวะ (right livelihood) กรุณา (compassion) มุทิตา (sympathetic joy) ปัญญินทรีย์ (wisdom)

ถามว่าเราจำเป็นต้องจำชื่อทั้งหมดมั้ย? ไม่จำเป็นหรอก แต่เราทุกคนรู้สึกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจิตเราบ้าง ท่านให้รู้สภาวะนั้นๆ เป็นสำคัญมากกว่าจะไปตั้งชื่อกำกับ 

(แน่นอนว่าเราชอบเรื่องนี้มากๆ ขอเขียนเยอะหน่อย การศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสนุกมากจริงๆ ราวกับอ่านหนังสือจิตวิทยาดีๆ ระดับปรมาจารย์...เวลาเรียนจิตเราจะนึกถึงศัพท์พวกนี้กลับไปกลับมาตลอดเวลา  ^^ อยู่ใกล้เราระวังติดเรื่องพวกนี้นะ เพราะเราคลั่งมาก LoL) 

      
5) กรรมนิยาม (karmic laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับเหตุและผล action = reaction ที่เกิดในระดับจิต เน้นที่การกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนา ต้องมีเจตนานะคะถึงจะเกิดพลังกรรม ซึ่งจำแนกได้หลายแบบเกินกว่าคนจะจินตนาการไปถึง (เป็นอจินไตย) รู้พอที่จะมีความเกรงกลัวต่อผลที่จะเกิดขึ้น จนเพียงพอที่จะตั้งตนไว้ชอบก็เพียงพอแล้ว   
  
เมื่อเข้าใจกฎ รู้วงจรปฏิจจสมุปบาท (Paticca-samuppada) จะพบว่าในสายเกิด...ทุกอย่างมีเหตุของมันและจะเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสมบริบูรณ์...

ในสายดับ...ก็ต้อง Unlock ด้วยแนวปฏิบัติทั้ง 8 (The 8 fold path) ที่ประกอบด้วย 

  • สัมมาทิฏฐิ (Samma Ditthi-Complete or perfect vision) 
  • สัมมาสังกัปปะ (Samma Sankappa-Perfected Emotion or Aspiration) 
  • สัมมาวาจา (Samma Vaca-Perfected speech) 
  • สัมมากัมมันตะ (Samma Kammanta-Integral Action) 
  • สัมมาอาชีวะ (Samma Ajiva-Proper livelihood) 
  • สัมมาวายามะ (Samma Vayama-Complete or full effort, Diligence) 
  • สัมมาสติ (Samma Sati-Complete or thorough awareness,
    right mindfulness) 
  • สัมมาสมาธิ (Samma Samadhi-Complete or perfect concentration)  

ซึ่งจะพาเราออกจากวงจรในที่สุด ... 

ปัญหามีอยู่อย่างคือ 

เราอยากจะออกจริงๆ เหรอ? 


"เรา" ตัวกูนั่นแหละ ...ทนได้หรือกับการที่จะต้องสูญสลายไป ...
(จากคำพูดนี้รู้เลยว่า กิเลสหนามากกกก 555+) 

ย้อนกลับไปเรื่อง "แผนของเบื้องบน" 

ชีวิตเป็นเหมือนวิถีขี้เมา ที่เราไม่มีวันเดาได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เพราะมันเกิดขึ้นอย่างไร้ระเบียบมากๆ ถึงเรียกว่า วิถีขี้เมา (อ่านได้ในชีวิตนี้ฟ้าลิขิตค่ะ) 


อร๊ายยยย ยาวจุงงงงง

ที่จริงวันพระใหญ่ควรจะละเว้นจากการขับร้องและประโคมดนตรีนะ ^^ แต่วันนี้ยังไม่ถึง ดูคอนเสิร์ตได้ 555+




Credit : ขอบคุณข้อมูลดีๆ เรื่องนิยาม 5 จาก
คุณวิมล ไทรนิ่มนวล, http://www.naewna.com/columnonline/11322
https://www.facebook.com/ThrrmaChati/posts/657266214287307
Simple buddhism term from http://www.buddhanet.net/e-learning/ by John Allan
เจตสิก 52, พจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=355

สะพานภูมิพล : credit http://teetwo.blogspot.com/2010/11/23

"พ่อ" ของเราไม่ใช่ใครหรอก ก็ "พ่อ" ของคนไทยทุกคนทั่วประเทศนี่แหละ
และสะพานที่ว่านี้ก็คือ สะพานเชื่อมระหว่างใจคน ไม่ใช่แค่สะพานที่เป็นสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น

ขอยกกระแสพระราชดำรัสในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะชายแดนใต้ ว่า
"เข้าใจ" "เข้าถึง" "พัฒนา" มาเป็น Theme ในการคุยกันดีกว่า

ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับภาครัฐเสียเยอะ โดยเน้นที่การเก็บข้อมูลเพื่อนำไปเป็นผลป้อนกลับสำหรับการพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐ ที่ส่วนมากคือบริการสาธารณะต่างๆ ตลอดระยะเวลา 18 ปี เราพบอะไรบางอย่าง

ที่น่าเสียดายมากที่สุด คือภาครัฐ มีคนเก่งๆ มากมาย เก่งระดับโลกด้วยนะ แต่ส่วนใหญ่ถูก
"ตอนความคิดสร้างสรรค์"

เป้าหมายของการทำงานถูกเขียนด้วยคำโต สวยงาม หรูหรา แต่ว่าแปลงลงสู่การปฏิบัติไม่ได้
เหมือนจะทำเพื่อ "ประชาชน" แต่จริงๆ กลับถูกบังคับให้รับใช้คนไม่กี่คน 555+

ย้อนกลับไปดูที่พระราชดำรัสใหม่อีกที "เข้าใจ" "เข้าถึง" "พัฒนา" ....
ในการออกแบบกระบวนการให้บริการสาธารณะ เพื่อประชาชน เราใช้หลักการของพระองค์ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน? 

เรา "เข้าใจ" ผู้ใช้บริการมากแค่ไหน หรือเป็นเหมือนโลงศพที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจคนตาย??? [ศพไม่ได้เป็นลูกค้านะครัช]
TQA SEPA PMQA #3 ย้ำว่าเราต้องฟังเสียงจากผู้ใช้บริการเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาทำเป็นสารสนเทศในการบริหารจัดการ TQA SEPA PMQA #4 #2 


Design Ladder : Service Design Workbook, by TCDC 


สิ่งต่างๆ ที่บอกว่า เราสร้างเพื่อเขานั้น พวกเขา "เข้าถึง" ได้มากแค่ไหน และอย่างไร? TQA SEPA PMQA #6 แนะนำให้เราออกแบบระบบงานที่ดีที่สุดเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดที่จะส่งมอบให้กับลูกค้า TQA SEPA PMQA #3 #2

ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะเป็น Myth เกี่ยวกับมุมมอง และเถียงกันไม่จบแน่นอน

เราพบว่าปรับปรุงกระบวนการยังไงมันก็มีบางอย่างที่คนใช้ผลิตภัณฑ์และบริการรู้สึกว่า "เข้าถึงไม่ได้" อยู่ดี

จากมุมมองของผู้ผลิต จะมองว่า Functional คือความสำคัญสูงสุด และมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพในการทำงานเชิงวิศวกรรม เช่น ลดต้นทุน ลดของเสีย ลดเวลาในการทำงาน ลดเวลาในการส่งมอบ ฯลฯ มากกว่า เพราะเรื่องแบบนี้วัดเป็นตัวเงินได้ง่ายและรวดเร็ว

เราเห็นเครื่องวัดรังสีนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้ดีมาก แต่แบบว่า ... ทำให้สวยน่าใช้กว่านี้ก็ทำได้ แต่ไม่ทำอ่ะ ด้วยเหตุผลโน่นนี่นั่น (แล้วจะมี business development unit ทำไมคะ ^^") 

สายไฟฟ้าช่วยสวยกว่านี้หรือเอาหลบไปหน่อยได้มั้ยคะ? (Industrial style ก็มีนะคะแหมมม)

หรืออีกที่หนึ่ง ก็สวยเกินไป สวยจนรู้สึกเกินเอื้อม น่ากลัวววว  ไม่กล้าเข้าใช้บริการ นี่ก็เข้าไม่ถึงอีกเหมือนกัน  >.< 

ว่ากันตามตรง "ผู้ใช้บริการ" ซึ่งเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ Technician หรือผู้บริหารในองค์กรนั้นๆ ย่อมมีพื้นฐานที่แตกต่าง และไม่ได้มองแบบเดียวกัน จริงๆ แล้วต่างกันมากมาย

ทำอย่างไรให้เทคโนโลยีง่ายต่อการเข้าถึงของคนธรรมดา ...
ถึงความรักจะออกแบบไม่ได้ แต่ผลิตภัณฑ์และบริการออกแบบได้นะคะ 555+

การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ "เข้าถึง" ได้ง่าย ในขณะที่คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของการใช้งาน (Functionality) ความเสถียรของระบบ (Reliability) และ Usability ที่ไม่ได้สักแต่ว่าง่ายอย่างเดียวนะคะ เดี๋ยวเกิดกรณีอย่าง Enron อีก ควรจะเป็นเป้าหมายที่ได้รับการเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร

เพื่ออะไร? ....

เพื่อสร้างความพึงพอใจในการใช้งานในมุมมองของผู้ใช้ และเมื่อความพึงพอใจมาจากความ "เจ๋ง" ของการใช้งาน ยิ่งจะทำให้เกิดการใช้ซ้ำด้วยความพึงพอใจ และพัฒนาไปเป็นความผูกพัน (Engagement) และยิ่งรู้สึกว่าใช่มากเท่าไรก็จะพัฒนาไปสู่ความภักดี (Loyalty) ในที่สุด

ใครว่าการออกแบบวัดค่าไม่ได้ ข้อมูลจาก Service design workbook ของ TCDC ระบุว่า เงิน 1 ปอนด์ที่ลงทุนไปในโครงการออกแบบ จะสามารถสร้างรายได้กลับคืนมาไม่ต่ำกว่า 25 ปอนด์ ภายในกรอบระยะเวลา 2 ปี และถ้าเป็นงานบริการสาธารณะด้วยแล้ว 1 ปอนด์นั้นจะให้ผลตอบแทนกลับมาถึง 26 ปอนด์เลยทีเดียว (p.025)  

เราได้วางแผนเพื่อ "พัฒนา" อย่างต่อเนื่อง เพียงใด? หรือคิดเพียงว่าทำพอให้ได้ใช้งบประมาณในแต่ละปีตามที่ตั้งไว้ครบเป็นปัจจัยสำคัญ จากข้างบนจะเห็นว่าเราใส่ #2 ไว้ทุกอัน นั่นแปลว่า ข้อมูลต่างๆ ล้วนต้องนำมาประกอบร่างเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ TQA SEPA PMQA #4 #2 และทำให้เกิดการไหลเวียนจากการคิด ไปสู่การปฏิบัติและสะสมผลจากการปฏิบัตินั้นต่อไป

นี่แหละคือความลึกซึ้งของ "พ่อ" ของแผ่นดิน ทำอะไรไม่ใช่แค่สักแต่โยนใส่ๆ แล้วบอกว่าทำแล้วๆ เสร็จแล้ว ตามแผนที่ตั้งไว้ 100% ทำอย่างนั้นทำไปเถอะ 10 ชาติก็ไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิด engagement ไม่เกิด Loyalty ต่อประเทศไทย แล้วเราจะไปโทษใครได้ ในเมื่อเราตีความพระราชกระแสไม่ออกเอง

พวกเราอาจจะพลาดไปเล็กๆ เพราะมัวไปเน้นกันที่ work flow และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตตลอดมาไม่ว่าจะเป็นการให้บริการขนส่ง การให้บริการสาธารณสุข ฯลฯ จนกลายเป็นตัวอย่างคลาสสิคในวงพวกเราว่า

"จะให้หมอมาลดระยะเวลาการตรวจได้ยังไง ก็คนรอรับบริการเยอะ และการตรวจก็ต้องใช้เวลา จะให้ลดรอบจนตรวจเสร็จเร็วๆ ก็จะทำงานพลาดอีก" 555+ (อันนี้มีการเคลียร์กันภายหลังแล้ว) หรือ

"ไม่ต้องทำให้สวยหรอก จะเอางบประมาณมาจากไหน"
ภายใต้คำที่ไม่ได้พูดออกมาว่า ต้องเอาไปจ่าย (ท้าวแชร์) อีกเยอะ -_-"





Entry # 2 เราจะมาเล่าประสบการณ์ของการเข้าร่วมเป็น Jammer ใน BKK Public Service Jam 2015 นะคะ 






ถ้าหนทางสู่การอยู่เหนือโลก (โลกุตตระ) คือการเพิกถอนซึ่งอัตตาตัวตน หรือพ้นไปจากมโนทัศน์เกี่ยวกับตน
วิถีของการอยู่ในโลก (โลกิยะ) ก็คือการสร้างตัวตน สร้างอัตมโนทัศน์ รวมถึงการสร้างภาพพจน์ ผ่านการรับรู้โลกภายนอกที่ถูกออกแบบไว้แล้ว ตีความสะท้อนกลับไปมาเป็นตัวตนของแต่ละคน


ภาพประกอบจาก http://readjournal.org/

ซื้อมาเมื่อปี 2554 ด้วยคำโปรย "....Technology of Self"

เป็นหนังสือที่ "ภาษาดีมาก ละมุนมาก เทพมาก" คือ
ดีงามสุดๆ ในแง่ของการใช้ภาษา อารมณ์ประมาณกินอาหารแล้วมันละมุนลิ้น คือฟินเฟร่อออ ^o^
ชื่อของคุณประชา สุวีรานนท์ คงการันตีคุณภาพอยู่แล้ว

เป็นไอดอลในการเขียนหนังสือของเราเลย เพราะใช้ภาษาสุดยอด เก็บแนวคิด ประเด็นเล็กประเด็นน้อยได้ครบถ้วน มีโทนครบทุกอารมณ์ สมศักดิ์ศรีนักวิจารณ์

อ่านๆ ไปก็จะอยากหาหนังสือที่รีวิวในเล่มมาอ่านโดยพลัน ^^







เล่มนี้คนเขียนมีความรู้ลึกซึ้งมากเกี่ยวกับคน หากผู้อ่านคุ้นเคยกับเรื่องการสร้างวาทกรรม, วัฒนธรรม, จิตวิทยา, การออกแบบ, พฤติกรรม จะอ่านเรื่องนี้ได้สนุกขึ้น

ใจกลางของเล่มนี้อยู่ในเรื่อง อัตมโนทัศน์ (self concept ซึ่งมีคำศัพท์ในกลุ่มอีกมากมาย ทั้ง self-construction, self-identity, self-perspective, self-structure)

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเล่มนี้รวมออกมาได้พอดี (ไม่แน่ใจว่าด้วยการวางแผนอย่างดีหรือไม่นะคะ) กับช่วงที่กระแสความบูมของ  "อะไรๆ ก็ I | Me generation"  ทำให้การทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเพลิดเพลิน ^^

เนื้อหาในเล่ม

หนังสือเล่มนี้ มี 5 ภาค (เยอะเนอะ)

ภาค 1 : Icon & Identity
>>  คูลฮันติ้ง ฟอร์บีกินเนอร์ | ปัจเจกชนยุคสุดท้าย? | ความกลัวออกแบบได้ | จรรยาบรรณกับการแต่งรูป | หน้าตาของศัตรู ที่อยู่ของเชื้อโรค
ภาค 2 : Style & Language
>> ดีไซน์ไม่ใช่นวัตกรรม | ดีไซน์สงครามกองโจร | เมื่อแบรนด์ถูกสร้างโดยกราฟิคดีไซเนอร์ | ดีไซน์มาก่อนหนังสือ สื่อมาก่อนสาร | เซ็กซ์ + สุรา = โฆษณาจิตใต้สำนึก
ภาค 3 : Information & Persuasion
>> ตัวเลขส่วนตนของคนธรรมดา | จากอณูสู่อนันต์ | ธรรมะหรือวิชามาร
ภาค 4 : Object & Desire
>>ถุงผ้า : เมื่อทางเลือกไม่ใช่ทางรอด | ศรัทธากับความสงสัย | มักง่ายหรือสร้างสรรค์ (แบบไม่ทันคิด) | วาทกรรมความสะอาด
ภาค 5 : Profession & Ethics
>> อหังการ์และคำประกาศ | รางวัลกับจุดยืนทางการเมือง | กราฟิกดีไซน์ : กิจกรรมหรือวิชาชีพ? | แปรวิกฤตให้เป็นการประกวด

ให้ทายว่า เราอ่านเรื่องไหนเป็นเรื่องแรก? ... ^^







[ล่าสุด ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เพิ่งตีประเด็นในเรื่องของการเก็บเงินค่าบำรุงการท่องเที่ยวบริเวณอุทยานแห่งชาติทางทะเล โดยเฉพาะบริเวณเกาะพีพีและอ่าวพังงา ติดตามได้ที่เพจ ดร.ธรณ์ ค่ะ]

เราเองเพิ่งไปแวะเกาะพีพีกับครอบครัว พีพีดอนเป็นเกาะที่มีจุดชมวิวสวยติดอันดับต้นๆ ของโลก
ซึ่งในวันนั้นด้วยเวลาอันจำกัด เราก็ไม่ได้ไปดู -_-"
แต่ทันทีที่เราขึ้นถึงพีพีดอน และจริงๆ ก็คงเป็นเหมือนทุกๆ เกาะที่เปิดให้ท่องเที่ยว
เราเห็น "การพัฒนา" มากมาย ที่เกิดขึ้นบนนั้น 
มุมมองและผลประโยชน์ที่ต้องการซึ่งไม่ตรงกัน 
ทำให้เราเรียกมันว่า "การทำลาย" เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ยานพาหนะที่พาเราไปถึงจุดหมาย แต่ก็ทำให้หาด (ที่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหรอกนะ) สกปรกจนน่าจะทำให้คนที่สัมผัส คัน หรือจนกระทั่งปวดแสบปวดร้อน

ป้ายโครงการพัฒนาภูมิทัศน์ของเกาะที่ระบุว่ามีมูลค่าประมาณ 10 ล้านเศษ หมายรวมถึงทางเดินและประติมากรรมอย่างที่เห็น...
สำหรับเรา มันเป็นตัวทำลายความงดงามของธรรมชาติมากกว่า
จริงอยู่ว่าคนที่ไปเที่ยว ไม่ได้มีแค่คนแบบเราที่ต้องการอะไรที่มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ชัดเจน เพราะเราคิดว่าเรามาเสพ "ความงามตามธรรมชาติ" มากกว่า "ความงามที่มนุษย์สร้างขึ้น"
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง เราคงเลือกที่จะอยู่ในเมืองแทน

แต่เรามองแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มที่เขาเลือกเสพคนละสิ่งกับเรา
จึงไม่ถูกต้องที่เราจะไปว่าคนอื่นนัก

จริงๆ แล้วถ้าเราเดินไปถึงจุดชมวิว ... เราคงได้เห็น "ความงามที่ธรรมชาติสร้าง" ที่มนุษย์ไม่มีวันทำให้เป็นแบบนั้นได้ แต่เพราะเราเดินไปไม่ถึง ด้วยข้อจำกัดที่เรามี เราจึงเห็นแต่ "สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น" เท่านั้น ตามภาพ



เหมือนกับปลายปี 2013 ที่เราไปปฏิบัติธรรมที่ลำพูน ... แล้วแวะไปซื้อโรตีที่นิมมานซอย 3 เราสลดใจมาก...
ที่เห็นว่า นิมมานกลายเป็นเหมือนผู้หญิงที่ถูกรุมโทรม
เธอเปลี่ยนไปมากจาก ปลายปี 2010 ที่ตอนนั้นแสนจะสดใส...นี่ขนาดเป็นชุมชนเมืองนะ
แล้วอุทยานแห่งชาติหลายๆ แห่งจะเป็นอย่างไร?

เราเคยคุยกับพี่ๆ เกษตร ซึ่งทำให้จุกมาก...เพราะพี่ๆ ให้เหตุผลว่า ทันทีที่ไม่สนับสนุนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและปลูกตามๆ กัน เกษตรกรทั้งหลายก็จะบอกว่า จะไปขัดขวางไม่ให้เขารวยเหรอ? เขาก็อยากรวย อยากส่งลูกเรียน M (BA) เหมือนกับทุกๆ คน นั่นแหละ...#การท่องเที่ยวก็เช่นกัน

เราไม่ได้ต่อต้านการพัฒนา...เราไม่ได้คิดว่าการกระตุกให้คิดเรื่องนี้จะเป็นเรื่องการ "ไม่อยากให้ชาวบ้านเจริญ" และเราก็ไม่ได้เชื่อในการทำงานของ NGO ระดับโลกบางแห่ง ... แต่เราเชื่อว่ามีวิธีการพัฒนาที่ยังคงรักษาความงดงามตามธรรมชาติไว้ได้อย่างสมดุลด้วย เพียงแค่เลิกอ้างว่างบไม่พอ แล้วขอให้พยายามคิด มันมีวิธีการอยู่แล้ว และหลายที่เขาก็ทำได้ดี

แต่ให้เราไป "อยู่และดำรงชีวิตแบบธรรมชาติ" จริงๆ เราก็คงอยู่ไม่ได้หรอกนะ
ยังไงเราก็ยังมีความเป็น "คนเมือง" สูงอยู่ดี






ชื่อเรื่องแรงจุงเบย 555

เราเป็นคน "อิน" กับเรื่องผู้พิการทางสายตาค่ะ มากๆ
เพราะลึกๆ แล้วเรากลัวว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็นอย่างนั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้น โลกของเราจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน
เราจะมีชีวิตอยู่ยังไง?

ตอนมัธยมต้น เคยอ่านเรื่องสั้น "นรกที่สวรรค์ลืม" ของ มรว.คึกฤทธิ์
คืออินอีก ใจความสำคัญก็คือ การที่เราไม่สามารถมองเห็นแล้วเราใช้จินตนาการ
โลกมันช่างสวยงามเหลือเกินอ่ะ
แต่ทันทีที่ตาของเรามองเห็น...โลกมันกลับไม่เป็นเหมือนอย่างที่เราจินตนาการไว้


มันช็อคนะ สู้เรากลับไปมองไม่เห็นดีกว่ามั้ย 555 เออ...แล้วเรื่องนั้นก็ยังฝังใจอยู่เรื่อยๆ

(จริงๆ แล้วอาจจะเพราะเรามีความบกพร่องที่สายตาสั้นมากๆ ด้วยก็ได้ค่ะ เลยอินจัด)

เมื่อปีที่แล้ววันที่ 1 พ.ค. ไปเที่ยวงานสถาปนิก 57 และงานจักรยาน กับหลานและเพื่อนรัก
เรากับหลานก็หมกมุ่นกับการ "ทดลอง" หลายๆ อย่างในงานที่เปิดให้ลอง
ทั้งการยุยงให้หลานขี่จักรยานผาดโผน การทดลองเป็นคนตาบอด ขาดก็แต่การทดลองเป็นผู้สูงอายุ
ที่ต่อคิวยาวมากกก เกรงใจเพื่อนที่รอ

การขี่จักรยานผาดโผน บนพื้นที่จำลองเล็กๆ ต้องอาศัยความกล้าของเด็กคนนึงพอสมควร
ที่จะไปทดลอง แน่นอนว่าป้าดันอยู่หลายรอบ
รอบแรก กอล์ฟล้ม ... แต่ทีมงานให้กำลังใจดีมาก เพราะพิธีกรบอกว่า
"มันคือการเรียนรู้ครับ" ทำให้กอล์ฟไม่กลัวที่จะเริ่มอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตาคนตั้งมากมาย ^^

การเป็นคนนอกอย่างเรา อาจจะมองว่ามันง่าย แต่การบังคับรถในที่ๆ ไม่คุ้นเคย
พื้นที่ที่ไม่ใช่ทางเรียบ เด็กอย่างกอล์ฟก็คงรู้สึกหวั่นๆ เลยทำให้ครั้งแรกของเขาพลาดไป จุดนี้สอนให้เรารู้ว่า
"การให้กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาคน" ^^

ที่สนุกกันมากทั้งป้าหลาน คือ การทดลองเป็นคนตาบอด ใช้ชีวิตในบ้านจำลองที่ออกแบบเพื่อคนตาบอด แต่เราต้องใส่ผ้าปิดตาก่อนแล้วใช้ไม้เท้า คลำทางเปะปะไป เล่นกัน 3 รอบ
จนพี่ๆ ที่ดูแลพื้นที่ขำป้ากับหลานมาก ^^" อยู่เลยมั้ย? 555+
คือมันก็ดีนะ แต่คงเพราะเป็นแบบจำลอง เลยแข็งๆ ความสวยงามคิดว่าคงไม่ต้องมี
เพราะเมื่อตารับรู้ไม่ได้แล้ว อาจไม่ต้องสนใจความสวยงามทางสายตา

เราติงที่ข้อนี้แหละ...

จริงหรือที่ว่าคนตาบอดไม่สนใจ "ความงามทางสายตา" ?

เพราะจากการเก็บข้อมูลของทีมออกแบบ The Bradley ที่มีจุดยืนว่า

"It's the only wristwatch out there that lets you feel time"

ซึ่งเพิ่งรู้จากข้อมูลจริงว่า คนที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นยังมีความต้องการ
ข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงามเหมือนคนปกติใช้กัน ไม่ใช่ข้าวของที่แบ่งแยก
"ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็น" ออกจาก "คนปกติ"

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพื่อการมองเห็นของเขา
แต่มันเพื่อการมองเห็นของคนอื่น ที่สะท้อนมายังเขาอีกทีต่างหาก
เพราะถึงเขามองไม่เห็น แต่เราเชื่อว่าเขารู้สึกได้
ว่าคนอื่นมองเขาด้วย "ความรู้สึก" อย่างไร


วันนี้ (24 เม.ย. 58) จากการคุ้ยเรื่องสั้นของ มรว.คึกฤทธิ์ เราไม่เจอเนื้อเรื่องที่เราต้องการ
แต่เราเจอมุมมองที่น่าสนใจมุมมองหนึ่ง
http://www.baanmaha.com/community/thread19376.html


ใครกันแน่ที่ตาบอดเพราะความรัก

คุณเคยเห็นคนตาบอดมั้ย?

คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่
คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ เช่น ตลาดนัด
พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า...
คงจะมีคนใจบุญไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง
คนสองคนที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด...ทีละนิด...
เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่...
นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆ เครื่องนึง
กับไมค์อีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้คือขันอลูมิเนียม...
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน...

ผมไม่คุ้นหูกับเพลงที่เขาร้องนักหรอก...
แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...
และดูเหมือนเขาก็หวังว่าคุณจะต้องชอบมัน
ผมเห็นเขาจับมือกัน...
วินาทีนั้น...ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด

คุณเคยนึกถึงความรักของ "คนตาบอด" หรือเปล่า?
คนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ?
เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า คนรักของเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร
คนตาบอด จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น...
เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน...ไม่มีเกียรติยศ-ศักดิ์ศรีให้กังวลใจ
เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้...
ต่างคน ต่างก็ไม่มีเงิน...ตาสองข้าง ปิดสนิท แต่ "เปิดใจ" เข้าหากัน

คนสองคนที่อยู่ด้วยกันด้วย "ใจ" ล้วนๆ ความรัก...ก็เกิดจากตรงนั้น...

คนตาบอด พาคนที่เขารักไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง
คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก
คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน และกลับถึงบ้านพร้อมกัน
พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ?
คุณรู้หรือเปล่า...คนตาบอดจับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน
คุณเคยทำอย่างเขาบ้างมั้ย?

ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...
หลายๆ คนมีเกียรติยศ หน้าที่การงาน ที่ดีเหลือเกิน...
หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งฉลาด
แต่พวกเราหลายๆ คนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...
หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน...เพื่อที่จะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น
เอ...พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก...มากเกินไปหรือเปล่านะ?

อนาคตของคนตาบอดอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...
ดูเหมือนเขาจะสงสัยก็เพียงแต่ว่า...
วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญสักกี่คน ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข...

ตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้อยู่ พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว
พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆ เหมือนผมหรอก คุณว่ามั้ย??
ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆ ในวันนี้...


ผมเชื่อว่าครั้งหน้าที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น...คุณอาจเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ...เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...


ขอบคุณคนตาดี ที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ ^^


ดีนะที่เราแค่สายตาสั้น ไม่ได้ตาบอด (ตามเพลงนี้นอกจากตาบอดแล้วยังเฉียดนรกด้วย) 555+