[ต้นร่างเขียนไว้ตั้งแต่ 15 Dec 2014 ทิ้งไว้นานเชียว]

เอามาปัดฝุ่นเพราะเมื่อวาน (25 Oct) ได้อ่านหนังสือที่พูดถึง ฮอนโก ทาเคชิ (V-1)


โดยหนังสือเล่มนั้นบอกว่า ถ้าเราจะก้าวข้ามสิ่งที่เป็นอยู่
สิ่งที่เราควรจะทำ ไม่ใช่แค่การฝึกแทบจะเป็นบ้าอย่างทาเคชิ
ในขณะที่ยังเป็นร่างกายมนุษย์คือมีข้อจำกัดของร่างกายอยู่

แต่เป็นการแปลงร่าง คือต้องเปลี่ยนอย่างรุนแรงทั้งหมด
จึงจะหลุดออกจากวงโคจรเดิมๆ ได้
อืม...จะ disrupt ได้มันต้อง transform สินะ

ในการนี้ เราต้องทิ้งอะไรหลายอย่างไป
เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
อาจเรียกได้ว่า "สังเวย" ใช่แหละ "Sacrifice"

แต่คิดว่าถ้าเดินทุกวัน แล้วมันก็จะถึงในสักวัน ...



หลายคนอาจสงสัยว่า Masked Rider มีอะไรดี? ทำไมนฤมลคลั่งนัก :P

สำหรับเราแล้ว Masked Rider เป็นตัวแทนของ Hero รูปแบบหนึ่งที่ยืนหยัดในหลักการบางอย่าง
Masked Rider แต่ละคนจะมีปม มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป แต่อย่างที่บอก
ไม่ว่าตอนเป็นคนจะแย่หรือเก่งกล้าแค่ไหน ถ้ามีคนอื่นเดือดร้อน เค้าไม่เคยรีรอที่จะไปช่วย
ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ซึ่งหลายครั้งอาจดูไม่ฉลาด...(และก็มีหลายตัวที่ฉลาด แต่ตัวเอกมักจะ
...เอิ่มมมม...) ตอนหลังก็ต้องเปลี่ยนร่างแบบพิเศษ (ขายของได้อีกเยอะ 555+)

จำได้ว่า ตอนเด็กๆ จะชอบ Sentai มากกว่า เพราะ มีผู้หญิง...มันเป็นความฝันที่เหมือนจะสัมผัสได้
และเนื้อเรื่องยังไม่หนักเท่ากับ Masked Rider ที่ต้องมีการสืบสวน มีการชิงไหวชิงพริบ (สมัยโน้นนะ)
รู้สึกแต่ว่า คนที่จะเป็น Masked Rider ได้นี่ไม่ธรรมดา ซึ่งก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นกับซุเปอร์แมนหรืออุลตร้า

แค่มีพลัง...มันไม่พอหรอก 555+

เด็กอย่างเราชอบอะไรก็ตามที่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ โดราเอมอน, Masked Rider, Sentai

ถ้าเป็นฝั่งตะวันตกจะชอบ Iron man, Bat Man, Macgyver, Babapapa

วาดรูป วาดการ์ตูน ทุกวัน ทำกันเป็นเล่มๆ เยอะสุดก็เทพีอธีน่า รองลงไปก็ รันม่ากะอากาเนะ 555+
แต่ก็ไม่สุดๆ แบบทำเป็นเล่มเท่าน้องชาย

เพราะไปๆ มาๆ รู้สึกว่า ทำไม่ได้ดีนัก
แต่ที่ทำได้ดีที่สุดคือการให้คำปรึกษา 555+ (ในตอนนั้นนะ)

ตลกดี ...

ต่างกับน้องชาย ที่สุดท้ายก็เลือกเรียนการออกแบบจริงจัง
(แต่ในที่สุดก็...)

หรือเราทำหลายอย่างเกินไป ???

เอาน่า...แต่เราก็ได้ใช้ skill ด้านความคิดมาใช้ในงานอยู่เสมอๆ นี่นา
(ที่แย่ก็คือ เราไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง...เหมือนการตีกลองที่ตอนนี้เราง่อยไปแล้วจริงๆ)

เราชอบดูอะไรที่มันมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เราอยากรู้ว่าทำไมต้องออกแบบอย่างนั้น มีฟังก์ชั่นอะไร
การดูหนังนี่มันดีเนอะ อย่างน้อยมันก็จำลองให้เราเห็นประโยชน์ของอุปกรณ์สารพัดได้

Masked Rider กับ Sentai นี่มีจุดเด่นตรงการออกแบบลูกเล่นต่างๆ นี่ล่ะ
ชุดอะไร ใช้กับสถานการณ์ไหน 555+ ฐานทัพลับ ยานประกอบร่าง ฯลฯ
แอบชอบกระทู้นี้ เหล่า super sentai เวลาบังคับหุ่นยนต์ เขาแบ่งหน้าที่กันยังไงครับ

คือถ้าโดราเอมอนจะชอบตอนพิเศษ เพราะมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน

มันคือการ transform ให้เหมาะกับสถานการณ์ การเอาชนะข้อจำกัด
และการทำให้ปัญหาที่มีอยู่ หมดไป
การออกแบบ ก็คือการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง สำหรับเรา

คล้ายกับการแก้โจทย์มั้ย?

อาจารย์ฟิสิกส์ที่สอนเรา บอกว่า 80% ของการแก้โจทย์เป็นเรื่องของการจินตนาการ
การวาดออกมาเป็นภาพ และ สร้างสมการจากภาพนั้น อีก 20% เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์
เราชอบฟิสิกส์มากกว่าคณิตศาสตร์ เราใช้ฟิสิกส์ในการสอบตลอด 555+
(ส่วนตัวไม่ได้เก่งคณิตสักเท่าไรนัก แต่ก็ชอบนะ)

ดีใจนะที่ปีนี้เราได้ลงมือทำจริงจังสักที ไปเรียน UX ไปร่วมงาน Gov Jam
สารพัดจะ take course สิ้นเดือนนี้มีอีกยาว
เหมือนเพื่อนเราที่เพิ่งเริ่มเรียนไวโอลินเมื่อปีก่อน
แต่นางจริงจังสุดๆ เพราะบอกว่า
"อย่างน้อยก็ได้เจอ ได้ทำสิ่งที่ชอบก่อนตาย"
ประทับใจมากกก


เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่...


สู้เขานะ ทาเคชิ 
(Takeshi means Worrior)





อย่างน้อยปีหน้าอะไรๆ คงเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

Try to make it HAPPEN ^^


ปกต้นฉบับ

อ่านเล่มภาษาไทยนะ ราคาถูกกว่ามากกกกกก....เพื่อนถามว่าอ่านอะไรนักหนา อ่านหมดมั้ย? อ่านหมดนะ...ยิ่งเล่มไหนหนุกๆ เนี่ย ชอบเลยยยย เล่มที่เปิดแล้วหลับก็มีเยอะ LOL

เล่มนี้อ่านแล้วอินเนอร์มาเต็ม กล้าออกเรือก็ว่าต้องใช้พลังเยอะแล้ว การที่จะบังคับเรือให้ไปในทิศทางที่ดีที่สุด ตรงฝั่งที่สุด มันต้องอาศัยความกล้ามากกว่าอีก...มันต้องเอาให้สุด!

ปกภาษาไทย
เรื่องความถูกต้องของภาษามิรู้ได้นะคะ เพราะเราไม่ได้อ่านเปรียบเทียบกัน แต่เนื้อหาย่อยง่าย อ่านเพลินๆ แป๊บเดียวก็จบแล้ว

ขนาดเล่ม : A5
สำนักพิมพ์ : ฮักแต๊แต๊
วางจำหน่าย : 1 กรกฎาคม 2558
ราคา : 279 บาท (ในยุคที่ค่าเงินบาทขนาดนี้ อ่านที่เขาแปลมาเห้อออ ถูกกว่ากันครึ่งนึง เทียบกับราคา paper back นะคะ)

ฟีลลิ่งที่เกิดขึ้น :

  • อย่าตัดสินหนังสือจากปกอีกแล้ว เพราะปกทำให้เราคิดว่าราคาคงไม่แรง ... ไม่น่าจะเกิน 200 แต่พออ่านเนื้อหาก็รู้สึกว่า ปกไม่สวยนี่มันทำให้ตั้งราคาได้ยากเหมือนกันเนอะ ราคาขนาดนี้โคตรคุ้ม!
  • เป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ ของบรรดาเรือเล็กที่กำลังจะออก หรือเพิ่งจะออกจากฝั่ง หรือกระทั่งเรือที่คิดว่าลอยอยู่กลางทะเลนานเกินไปแล้ว ทำไมยังไม่ถึงฝั่งสักที ^^ 
  • เราได้อะไรมากมายจากหนังสือเล่มนี้ (เธอได้มากทุกเล่มนะ รู้สึก 555+) ที่สะเทือนใจเพราะหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วม...คนเขียน John Warrilow เป็น นักธุรกิจในแวดวงวิจัยการตลาดเหมือนกัน เจอสภาพอะไรต่อมิอะไรมาคล้ายๆ กับที่เราเจอ ต่างกันตรงที่เขาเป็นเจ้าของ เป็นคนสร้าง และทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จไปแล้ว ในขณะที่เราเป็นลูกจ้างของ SME แห่งหนึ่ง และเคยเป็น freelance researcher ซึ่งห่างชั้นกันยิ่งนัก ผู้น้อยขอคารวะ  
  • เราอ่านเรื่องแนวธุรกิจ-นิยายมา 3 เล่ม มีที่สนุกสองเล่ม คือเล่มนี้ กับเรื่องแปลของญี่ปุ่นอีกเล่มนึง เป็นแนวที่หายาก คนเขียนต้องมีประสบการณ์ จินตนาการ และความสามารถในการเรียบเรียงที่ดีเพียงพอที่จะเขียนให้สนุก 

จุดเด่น

  • หนังสือ How to ที่ยกตัวอย่างโดยร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ผ่านตัวละครหลัก 2 ตัว คือ อเล็กซ์ เจ้าของธุรกิจการโฆษณาและการตลาดเล็กๆ ที่ตั้งมาแปดปีแล้วย่ำต๊อกอยู่กับที่ และถูกลูกค้าโขกสับอยู่ร่ำไป กับเทด เซียนธุรกิจผู้ปราดเปรื่อง เป็นโชคดีของอเล็กซ์ที่รู้จักกับเทด ทำให้เขาเข้าไปขอคำแนะนำจากเทดในการขายธุรกิจ และต้องไปปรึกษาอาจารย์ทุกสัปดาห์ เขาจะทำให้สำเร็จหรือไม่? เดาได้อยู่แล้วแหละว่าต้องสำเร็จ แต่ระหว่างทางต่างหากที่น่าสนใจ    
  • ที่สำคัญ จบในเล่มจ้าาาา อีกเรื่องที่เราอ่าน รออ่านเล่ม 3 อยู่เนี่ย รู้สึกค้างคาชะมัดเลย 


เนื้อหาในเล่ม 
เนื่องจากเป็นหนังสือที่เริ่มเรื่องด้วยเรื่องราวสมมติ เนื้อหาอาจจะแยกได้เป็น 5 ภาค (เราแยกเอง) ดังนี้

  1. วงจรอุบาทว์ : เจ้าของ SME ที่ต้องรับมือกับสภาพงานสารพัดด้วยตัวเอง ลูกค้าร้ายกาจ ลูกน้องเอาใจยาก หนี้สินล้นพ้นตัว ชีวิตจะไปทางไหนดี? 
  2. หนี : อเล็กซ์ตัดสินใจจริงจังที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พ้นไปจากวงจรอุบาทว์นี้ จึงไปขอคำแนะนำจากเท็ด 
  3. มุ่งมั่น :  อเล็กซ์มุ่งมั่นที่จะทำตามที่เท็ดแนะนำ "อย่างเคร่งครัด" ระหว่างนี้ต้องเจอบททดสอบมากมาย คือบททดสอบแต่ละอย่าง แลกมาด้วยการสูญเสียรายได้เฉพาะหน้าเป็นจำนวนไม่น้อย แต่สุดท้าย ก็ "ถูกของเท็ด" เฮ้อออ ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนี้มั้ยน้า....
  4. ลงสนาม : อเล็กซ์ลงสนาม "การขายธุรกิจ" จริงจังในตอนท้ายเรื่อง และในที่สุด...
  5. ของจริง : ความรู้เพิ่มเติมว่าเงื่อนไขธุรกิจแบบไหนที่จะสร้าง cash cow และประสบการณ์ส่วนตัวของ John ในการทำบริษัทวิจัยการตลาด  

แนะนำค่ะ 
หนังสือที่มีจุดขายว่า "เป็นคัมภีร์กลยุทธ์การโฆษณา ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด"
แถมตอกย้ำความเป็น "เจ้าเก่า" ด้วยคำว่า ฉบับครบรอบ 20 ปี พร้อมคำนิยมเพิ่มเติมจากผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้ซื้อมาประมาณปี 2546-47
ผู้เขียน : AL Ries and Jack Trout
ผู้แปล  : ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
--------------------------------------------------------------

ซื้อหนังสือเล่มนี้เพื่อที่จะ "ถอดรหัสโฆษณาสุรา" โดยเฉพาะ
ตอนแรกที่อ่านจึงไม่สนใจเนื้อหาอื่นมากไปกว่านั้น
จนเมื่อได้อ่านอีกครั้งเพื่อที่จะรีวิวหนังสือเล่มนี้ จึงพบว่า
ในแง่ภาษา...หนังสือเล่มนี้ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นหนังสือที่เขียนแล้วอ่านสนุก
แถมการมี คำนิยมเพิ่มเติมจากผู้เขียน หรือที่ควรจะเรียกว่า "บทรำพึงของผู้เขียน"
แทรกอยู่ตามหน้าต่างๆ กลับทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่หนังสือเล่มนี้ให้
ดูน้อยลงไปมาก

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นหนังสือพื้นฐานที่ควรอ่านกันสักครั้ง

เนื้อหาที่อ่านมาได้ แบ่งเป็น 3 ภาค

ภาค 1 สมอง
ภาค 2 ภาพพจน์
ภาค 3 กรณีตัวอย่าง

ภาค 1 สมอง
เนื้อหาในภาคนี้ประกอบด้วย ประเด็นทางจิตวิทยาเกี่ยวกับสมอง, การรับรู้และตีความเกี่ยวกับภาพพจน์, การจู่โจมทางความนึกคิด, การเข้าไปจับจองความนึกคิด, ขั้นบันไดเล็กๆ ในสมอง, ข้อจำกัดของการรับรู้

ภาค 2 ภาพพจน์
เนื้อหาในภาคนี้แยกย่อยได้อีก 3 ขั้น
1) ผู้นำ - ผู้ตาม - การเปลี่ยนภาพพจน์ในการแข่งขัน
2) การตั้งชื่อและอำนาจ - กับดักในการตั้งชื่อ - กับดักในการอาศัยชื่อเสียงเก่า 3) กับดักอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ ได้แก่ กับดักของการขยายสายการผลิต - และเมื่อไรควรจะใช้กลยุทธ์นี้


ภาค 3 กรณีตัวอย่าง
เนื้อหาในภาคนี้ประกอบด้วย กรณีตัวอย่างทางธุรกิจของแบรนด์ต่างๆ

<เดี๋ยวมาต่อนะคะ ทำหลายอย่างจัด>

หนังสือเล่มนี้เราได้มานานมากกกก ตอนประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เดี๋ยวจะเอากลับมารีวิวอีกครั้ง แปลว่า ต้องอ่านใหม่อีกรอบนั่นแหละ ^^" มันเป็นอมตะนะ หนังสือเล่มนี้
ยังไม่มีเวลาเขียนนะคะ รอก่อน
ภาพจาก TCDC Resource Center

เล่มนี้ได้มาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2558 ในงาน SHIFT : Decode Design Disrupt ในราคา Discount พูดง่ายๆ คือหนังสือทรงคุณค่าที่ขายไม่ออกนั่นล่ะ LoL แต่เราชอบมากเลยยย เนื้อหาดีมากกกก เล่มนี้อาจเรียกได้ว่าแหกโค้ง...555+
ป,ล. มีเรื่องราวเกี่ยวกับงาน Creative Unfold 2015 (CU 2015) อีกเอนทรี่นะคะ


ขนาดเล่ม : A5
สำนักพิมพ์ : TCDC
วางจำหน่าย : 1 กุมภาพันธ์ 2553 ต้นฉบับจริงๆ ก็ 10 ปีผ่านมาแล้ว (พฤศจิกายน 2005)
ราคา : 175 บาท (คุ้มมากกกก ลดจากปก 250 บาท)

ฟีลลิ่งที่เกิดขึ้น :

  • หยิบครั้งแรก คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้า เอาวะ เปิดดูหน่อย เผื่อได้ไปเล่าให้จอยฟัง ที่ไหนได้ เป็นเรื่องธุรกิจสร้างสรรค์ทั้งหมด  
  • รูปเล่มกะทัดรัด บางๆ การพิมพ์ที่ละเอียด ประณีต และ Artwork ที่ทำให้ "แนวคิดทางธุรกิจ" ที่ดูจะเป็นสีเทาๆ ทึมๆ ไม่สดใส กลายเป็นเรื่อง "น่าสนุก มีสีสัน และเข้าใจง่าย" ไปเลย
    (ปล. ด้วยความที่ใช้กระดาษดีมากกกก หนังสือจึงหนักมากไปด้วย)
  • เนื้อหาตั้ง 2 ใน 3 เป็นเรื่องเครื่องมือการวิเคราะห์ธุรกิจ การเงิน ที่สอนกันใน MBA คือผู้เขียน David Parrish ทำให้เนื้อหาย่อยง่ายขึ้น และหยิบไปใช้ได้ทันที ตั้งแต่การเริ่มคิดแผนธุรกิจ เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ "ไม่มีเวลา" ทำความเข้าใจ concept ยากๆ พวกนั้น 
  • เป็นหนังสือที่เหมาะจะเป็น How to ของ SME หรือ Entrepreneur ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว หรือผู้ที่ก่อร่างสร้างตัวแล้ว จะใช้เป็น checklist อีกทีก็ได้ว่าเรายังขาดอะไรไปบ้างหรือไม่? 
  • อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วรู้สึกเหมือนมี checklist ไว้กับตัวอ่ะ อารมณ์ประมาณนั้น 

จุดเด่น

  • ความเปิ๊ดสะก๊าดของหนังสือ ที่มีธีมชัดเจนว่าด้วยการใช้ทั้ง "เสื้อยืด" ตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ และ "สูท" หลักการทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กัน     
  • มีการสรุปสาระไว้ในหน้าท้ายๆ ด้วย เสื้อยืด 10 ตัว ^^
  • เนื้อหาและข้อมูลอ้างอิงแน่นมาก ... นี่เป็นจุดเด่นของหนังสือทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกัน
    หลายต่อหลายเล่มให้ข้อมูลอ้างอิงละเอียดยิบ ทำ index เรียบร้อย นำไปใช้ต่อได้เลย 
  • มีตัวอย่างที่เรียกว่า "ไอเดียเชิงปฏิบัติการ" เหมือนกับ Mini MBA text book 

เนื้อหาในเล่ม 

  1. ความคิดสร้างสรรค์กับธุรกิจ : การแปลงความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นทุน หรือการใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นผงชูรสให้กับธุรกิจ
  2. รู้จักตัวเอง : Check list การตรวจสอบตนเองก่อนเริ่มธุรกิจ
  3. เตรียมความพร้อม : Check list การตรวจสอบสภาพแวดล้อม (ทางธุรกิจ) ด้วย ICEDRIPS 
  4. เวทมนตร์แห่งการตลาด : การตลาดคืออะไร ใช้อย่างไร 
  5. การรับมือกับการแข่งขัน : คู่แข่งและคุณ
  6. ปกป้องความคิดเชิงสร้างสรรค์ของคุณ : ด้วยลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร 
  7. นับเงินของคุณให้ดี : ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนก็ตาม เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก
  8. โครงสร้างการจัดการของบริษัทที่ดี : องค์กรรูปแบบต่างๆ มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร
  9. ความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ : คุณต้องเลือก ระหว่างธุรกิจที่คุณได้ทำซึ่งจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กับธุรกิจที่คุณต้องบริหารจัดการซึ่งสามารถเติบโตได้มากกว่าในอนาคต
  10. ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ : แนะเครื่องมือสำหรับการคัดกรองไอเดียของคุณว่าควรค่าแก่การต่อยอดหรือไม่ เพียงใด
  11. เส้นทางสู่ความสำเร็จ : ลงมือเขียนแผนธุรกิจ การวัดผลการดำเนินงาน และการประเมินความเสี่ยง

แนะนำซื้อเก็บค่ะ