คนธรรมดาที่อยากเก่งกับเขาบ้าง
คนเก่งอยู่แล้วที่ต้องการรักษาความเก่งไว้จนอายุ 90
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ หัวหน้า ผู้บริหาร ฯลฯ
ใครก็ตามที่ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ต้องอ่าน!
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2008 ภาษาไทยในปี 2014 ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น : ผู้เขียน Geoff Colvin
ผู้เขียนเริ่มด้วยการงัดหลักฐานต่างๆ มาบอกว่า สิ่งที่พวกเราพยายามเชื่อกันมาตลอด ว่าอัจฉริยะบุคคล คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด พระเจ้าประทานมา ฯลฯ เขาระบุว่า ไม่จริง!
งานวิจัยหลายต่อหลายชิ้นที่พยายามศึกษาเรื่องราวของพรสวรรค์ และอัจฉริยะ แสดงให้เห็นว่า ความเป็นอัจฉริยะไม่ใช่สิ่งที่ได้รับพรมาจากสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อหาเหตุผลปลอบใจตัวเองที่ตัวเราทำได้ไม่ดีเท่าเขามากกว่า
ก็คล้ายๆ กับหนังสือเกี่ยวกับสมองหลายเล่มอ่ะนะ ที่ว่าสมองสร้างได้...แต่สิ่งที่โดดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ การยกหลักฐานเชิงประจักษ์ ด้วยข้อสรุปจากงานวิจัยต่างๆ มาแสดงให้เห็น มากกว่าจะบอกลอยๆ มันทำให้ดูหนักแน่น น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
บทที่ 1-2-3 จะชี้ให้เห็นว่า ต้นตอแท้จริงของความสำเร็จคืออะไร
เราเคยเข้าใจว่าอย่างไร สิ่งที่เราเข้าใจมีส่วนไหนที่เป็นจุดบอดบ้าง
สามบทนี้กระแทกเราให้กระอักกับข้อเท็จจริงที่ว่า อัจฉริยะที่เรารู้จักทั้งหลาย
ไม่ได้เป็นอัจฉริยะอย่างที่เราคิด อะไรซ่อนอยู่ในนั้น
บทที่ 4-5 ชี้ให้เห็นถึงมุมมองอีกมุม ผลงานวิจัย การทดลองของผู้ที่่ต้องการเอาชนะ
ข้อจำกัดทางพันธุกรรมที่เราเรียกว่า ระดับสติปัญญาและความสามารถในการจดจำ
และอธิบายว่า คนที่เป็นอัจฉริยะ เป็นคนธรรมดาที่ทุ่มเทให้กับการฝึกอย่างบ้าคลั่งต่างหาก
บ้าคลั่งอย่างไร?
ด้วยจำนวนชั่วโมงการฝึกที่เหนือกว่าคนอื่นๆ มาก ด้วยประเด็นที่เฉพาะเจาะจง
และมีการให้ผลป้อนกลับ (ชี้แนะ) อย่างชัดเจน ไม่ต่ำกว่า 10 ปี
(10 years rule - เฮอร์เบิร์ต ไซมอน & วิลเลียม เชส)
กว่าจะสร้างผลงานได้อย่างที่เราเห็น
สำหรับสาขาวิทยาศาสตร์หลังๆ ยิ่งต้องใช้เวลามากกว่านั้น
บทที่ 6 ตอบคำถามว่า แล้วเราจะประสบความสำเร็จอย่างเขาได้มั้ย?
คำตอบคือ ได้! แต่ต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างหนัก
ฝึก ฝึก และฝึก ซึ่งเรียกว่า การฝึกอย่างจดจ่อ (deliberately practice)
ที่คุณต้องเลือกแล้วว่าเส้นทางไหนที่คุณจะเดิน คนแบบไหนที่คุณจะเป็น
ทักษะแบบไหนที่คุณต้องทำเพิ่มเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น
บทที่ 7-8-9 เป็นแนวทางในการนำการฝึกอย่างจดจ่อมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน กับองค์กร
และในหลายๆ อุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมแบบไหนที่จะทำให้เกิดอัจฉริยะได้!
บทที่ 10 บอกว่าเราจะต้านทานความเสื่อมของสังขารและข้อจำกัดของร่างกายได้อย่างไร?
ทำไมจึงมีนักดนตรีที่สามารถคงความเก่งกาจได้จนถึงอายุ 80-90 ปี จริงๆ แล้วนิยามความเก่งของคนในแต่ละสาขาวิชาชีพคืออะไร
บทที่ 11 เป็นบทที่ตัดจบ! มากก เพราะคำถามที่ว่า อะไรเป็นแรงจูงใจในการทำให้คนเราทุ่มเทให้กับการฝึกอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น! สุดท้ายก็จบที่ "ความเชื่อ" (คือบทนี้เราว่าแป๊กไปนิดส์)
ว่าแล้วก็นึกถึงข้อเขียนของนิ้วกลมบทหนึ่งที่ชอบมากๆ
ภาพวาดที่เฝ้ารอ by นิ้วกลม
ที่รัก ฉันอยากช่วยวาดภาพภาพนั้น แต่ฉันทำไม่ได้
ฉันไม่มีสี ไม่มีพู่กัน ไม่มีความสามารถ
หากฉันมีสิ่งเหล่านั้น ฉันจะยกมันทั้งหมดให้เธอ
แต่เปล่าเลย เรื่องแบบนี้ไม่มีใครมอบให้กันได้
เราอาจร่วมเดินทางไปตามหาสีที่ดีที่สุด
หากระดาษเนื้อดีที่ซึมซับสีอย่างที่เธอชอบ
ตามหาพู่กันขนกระรอกที่จิตรกรชื่อดังใช้ปาดทา
ฉันร่วมเดินทางออกตามหากับเธอได้เสมอ
แต่ภาพที่เธอต้องการวาดนั้น ฉันไม่สามารถวาดให้ได้
กระทั่งจับมือวาด
เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว ภาพนั้นย่อมมิใช่ภาพของเธอ
ภาพของเธอ เธอต้องเป็นคนวาดมันขึ้นมาด้วยตนเอง
จึงเป็นฝีมือของเธอ
ฝีมือที่ไม่มีใครมอบให้กันได้
ที่รัก นั่นเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ทั้งหลายออกเดินทางเพื่อให้ได้มา
ทั่วหล้า สูงเสียดฟ้า เจ็ดมหาสมุทร เพื่อตามหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ที่จอมยุทธ์ทั่วแดนร่ำลือกันว่า
หากได้ฝึกเคล็ดวิชาตามคัมภีร์แล้วจะเก่งกล้าหาผู้ใดเทียบเทียมมิได้
จอมยุทธ์ออกเดินทางหาเพลงกระบี่
ผู้คนธรรมดาสามัญต่างออกเดินทางทุกวันเพื่อหาเคล็ดลับความเก่งกาจ
ดูคล้ายคัมภีร์จะเป็นทางลัด
ดูคล้ายว่ามันจะตัดตรง
ข้ามเส้นทางคดเคี้ยวชวนคลื่นเหียน
หุบเหวที่สามารถตกลงไปตาย
ภูผาที่ต้องปีนป่ายขึ้นไป
อุปสรรคนานาชนิดก่อนที่ใครคนหนึ่งจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือ
ที่รัก จอมยุทธ์ทุกคนเดินทางทั้งชีวิตเพียงเพื่อพบคำตอบว่า
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าเป็นเพียงเรื่องโกหก
โลกนี้ไม่มีคัมภีร์ที่ว่านั้น
ไม่มีทางลัดสู่ความสามารถ
ไม่มีภาพสวยงามที่เกิดขึ้นในการวาดครั้งแรก
ไม่มีบทกวีสละสลวยกินใจจากกวีไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
เราตรากตรำ--มิใช่เพื่อพบคัมภีร์
มิใช่เพื่อค้นหากระบี่น้ำดี พู่กันขนนุ่ม สีสันจากสายรุ้ง
เปล่าเลย เราต่างเดินทางเพื่อเข้าใจว่า
แท้ที่สุดแล้วสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่คัมภีร์
หากแต่เป็นการเดินทางนั่นเอง
การตรากตรำเดินทางต่อเนื่องยาวนาน
ทุกก้าวย่างหล่อหลอมให้เรากล้าแกร่ง
ทุกย่างเท้าที่ตื่นขึ้นมาก้าวออกไปใหม่ในยามเช้า
ค่อยค่อยโบยตีให้เรากลายเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุด
มิต้องของสำนักไหน หากเป็นสำนักในแบบของเรานี่เอง
จงก้าวต่อไปเถิดที่รัก
ฉันมิเพียงจะหากระดาษ สี และพู่กันมามอบให้
แต่ยังขอมอบกำลังใจทั้งหมดที่จะให้ได้แก่เธอ
จงอย่ามองหาความสามารถ
จงอย่าออกเดินทางตามหาทางลัด
จงมุ่งหน้าไปตามทางที่เลือกแล้ว
อยู่บนเส้นทางนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วาดภาพ
วาดภาพ
วาดภาพ
จงอย่าลืมชื่นชมดอกไม้ ผีเสื้อ เสียงนก และหยาดฝน
เก็บเกี่ยวสิ่งสวยงามระหว่างทางมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการวาด
แล้วการเดินทางที่ยากลำบากจะค่อยค่อยสวยงามขึ้น
มิใช่ด้วยเส้นทางที่เปลี่ยนไป
หากเป็นเพราะหัวใจที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อนั้นเธอจะอยากวาดภาพทุกสิ่งที่เธอมองเห็น
เมื่อเธอมีดวงตาของจิตรกร
มีฝีพู่กันที่ตวัดกวัดไกวด้วยใจมิใช่ด้วยความกังวล
เมื่อความวิตกว่าจะทำได้ไม่ดีระเหยหายเหมือนน้ำค้างยามสาย
เมื่อชีวิตของเธอว่างเบาสบายและสวยงาม
ภาพวาดของเธอจะไหลหลั่งดั่งสายน้ำตามธรรมชาติ
ฉ่ำเย็น ต่อเนื่อง และงดงามโดยไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์
เมื่อนั้น
ฉันจะรอชื่นชมภาพวาดจากปลายพู่กันของเธอ
ได้เวลาแล้วที่รัก จงออกเดินทางเถิด.
หนังสือเล่มนี้กลายเป็นม้ามืด มาแรงแซงโค้งเล่มอื่นๆ ที่จดๆ จ้องๆ อยู่นาน
อันนี้หยิบ แล้วก็อ่านเลยซะงั้น และก็รู้สึกว่า ...
แหม...การสุ่มเลือกเล่มนี้มา
มันช่างลงล็อค ต่อกันกับ "ชีวิตนี้ ฟ้าลิขิต" ที่ได้รีวิวไปแล้วจริงๆ
(อ๊ะ! มนุษย์ชอบสร้างหลักฐาน)
1 comment:
ที่จริง เขียนได้เนียนดี แนววิชาการ เหมาะกับหนังสือ แต่ไม่สนุกเปรียบเปรยเท่า kano
บุคลิก อาจารย์ใส่แว่นแต่ทันสมัย
Post a Comment