จบไปแล้วกับ BKK Public Service Jam #GGovJam ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว

เป็นงานที่มุ่งมั่นจะให้ประโยชน์แก่คนหมู่มาก ... โดยเฉพาะให้ "แนวคิด" "กระบวนการคิด" "วิธีการทำงาน" กับคนทั่วไปและคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการทำงานในครั้งนี้

พูดง่ายๆ คือ มาเรียนรู้เพื่อที่จะเป็น "ผู้สร้าง-ผู้พัฒนา" ที่ดี นั่นเอง


สะพานแขวนใน จ.ตาก จากกล้องตัวเก่าของเราเอง T_T อยากได้เลนส์นั้นอีก

(ขอ Quote คำจาก slide ของวิทยากรหน่อย พอดีเป็นรูปสะพานเหมือนกัน มันเข้ากับชื่อเรื่องของเราด้วย ไปช่วยพ่อสร้างสะพานกันเถอะ #1 ^^)

Design is not about shape, color, lighting or decoration of the bridge. It's about "How to across the river". 

เนื้อหาของงานปีนี้ ทีมงานบอกว่ามีการปรับปรุงจนมาเป็นรอบที่มีการสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบบริการ (Service Design) โดยอิงอาศัยแนวคิดการออกแบบ (Design Thinking) ซึ่งเราว่าดีนะ อย่างน้อยมีแนวทางการทำงาน ยิ่งคนที่มาในครั้งนี้มีภูมิหลังที่หลากหลาย คนที่ไม่ได้เรียนด้านการออกแบบมาอาจจะใช้วิธีการคนละแบบ (ไม่อาจล่ะ ใช้คนละแบบกันเลย)

สำหรับเรา อยากมาเรียนรู้กระบวนการสร้างความ "เข้าถึง" ตาม TQA # 6.1 ซึ่งเราเองติดตามมาตั้งแต่ปีก่อนโน้น (2013)  แต่ติด project ซะจนพลาดไป...

ถ้าพูดภาษา TQA Geek ทั้งหลาย จะใช้กระบวนการเชิงวิศวกรรม ที่เรียกว่า QFD (Quality Function Deployment) บวกกับ TRIZ ในการวิเคราะห์ ตอบโจทย์ TQA # 6.1
[ความหมายของ TRIZ และ QFD อยู่ด้านล่างค่ะ ^^]

ในขณะที่ถ้าพูดด้วยภาษาของนักสร้างแบรนด์ นักการตลาด ก็ต้องบอกว่า Service Design เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิด CRM (Customer relationship management) CEM (Customer experience management) ที่บางสำนักอาจจะมองว่า It's OUT แต่สำหรับเรามันยังไม่ out หรอกนะ ตราบใดที่เป็นเรื่องของคน ^^


มาดูกันว่าเราได้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงหรือเปล่า?

ช่วงทำความเข้าใจ วิทยากรก็จะมีการถามว่า คิดถึง public service คิดถึงอะไรบ้าง? .... เป็นที่น่าแปลกใจว่า public service ที่เราคิดถึงคือคุก ฮากันทั้งบาง LoL
เราคิดถึงจริงๆ นะ เพราะเคยชิน เย้ยยยยยย!!!! ก็ทำกระบวนการยุติธรรมมาตั้งนาน ณ ตอนนี้บิดาก็ยังต้องไปบรรยายในคุกอยู่ทุกเดือน

แต่พอได้ Theme ของปีนี้มา ก็มีคนคิดถึง "คุก" เหมือนกับเรานั่นแหละน้าาา...เหมือนมะคะ? ^^



ปีที่แล้วมันคือ Hero ปีนี้มันคืออัลไลลลลลลลลลลลลลล
ตอนประกาศ Theme ออกมานี่ เหวอกันเหอะ บอกเลย 555
Including ทีมงานนะเราว่า 

พอได้ Theme มาแล้วก็ถึงขั้นตอนระดมสมอง เลือกหัวข้อกัน ทีมงานให้แต่ละคนคิดไอเดียเกี่ยวกับบริการสาธารณะที่รู้สึกหรือคิดได้เมื่อมองเห็น Theme ข้างต้นคนละ 2 ไอเดีย แล้วจะให้กลุ่มให้คะแนน แต่ละคนผลัดกันเดินแลกกันไปเรื่อยๆ เพลงหยุด ก็จะให้คะแนนแผ่นที่ตัวเองเจอ โดยมีคะแนนรวม 1 แผ่นต่อเจ็ดคะแนน คะแนนสูงสุดคือ เรื่องที่ทุกคนเห็นพ้องกันว่า เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่เราจำได้ก็จะมี...

ถ่าย ซ่อม เมือง >> ย่อยเป็น 2 กลุ่ม

ความปลอดภัยของสตรีที่กลับบ้านดึก

ความเครียด (ของคนเมือง) >> ย่อยเป็น 2 กลุ่ม

ความปลอดภัยของคนที่อยู่ (บ้าน) คนเดียว >> เวลา present มี 2 กลุ่มง่ะ

บริการสาธารณสุข (ชื่อเราจำไม่ได้แล้วอ่ะ ... จำได้แต่เป็นกลุ่มสาวงาม ^^")

--------------------------------------------------------------------------- >>>

กลุ่มเรามี 6 คน แต่ในที่สุดก็เหลือ 5 คน ซึ่งพวกเรามีเวลาเริ่มงานกันไม่ถึง 48 ชั่วโมง (ก็ขอนอนบ้างไรบ้างนะ แหมมมม)

เราชอบพลวัตของกลุ่มในงานนี้มากๆๆๆๆๆ 

วันแรก...เราไม่รู้จักกันเลย เราแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครชื่ออะไร เราได้แต่แลกเบอร์และสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมา อาจเป็นโชคดีของเราด้วยที่ได้สมาชิกในกลุ่มแบบนี้ .... หรือเพราะเวลา??

ค่ำๆ วันแรก กลุ่มเรากลับก่อนกลุ่มอื่น! เพราะเราสรุปกันโคตรง่าย 555 ว่า Goal คืออะไร concept คืออะไรในภาพจะเห็นแผ่นสีฟ้าๆ นั่นล่ะ เสร็จแล้วจบ....จบเร็วชะมัด

แล้วเราก็คิดตลอดทางที่กลับบ้าน....เราพลาดอะไรไปหรือเปล่าน้าาาา มันมีหลุมพรางอะไรซ่อนอยู่มั้ย?



วันที่สอง...(จริงๆ แล้วคือวันที่ 1 ของงาน เพราะกำหนดการไม่รวมวันทำความเข้าใจ) เราก็ยังขัดๆ เขินๆ กันอยู่ ทีมเรามีหนูน้อย น้องอะตอม เด็ก I.D KMITL โคตรดีใจอ่ะ มีหนูอยู่ด้วย เพราะมันทำให้งานง่ายขึ้นมาก 555+  น้องแม็กจาก TCDC เชียงใหม่ เราก็หวังพึ่งละ น้องเด็ก TCDC ต้องรู้กระบวนการบ้างแหละ พี่มะรู้ไรเลยยยย (แม็กบอกว่าผมก็...) น้องสุ แปลดีงาม นักกายภาพบำบัด น้องแชมป์ นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สองคนนี้อเมซิ่งมากกก เราทำได้กันทุกอย่างจริงๆ เริ่ดฝุดๆ 

เกม "Yes...and" กับ "Yes...but" เป็นกิจกรรมที่ดีมากเลย เราตกลงใจที่จะใช้ Yes...and ในกลุ่มของเรา โดยที่ไม่มีการบอกว่าตกลง....มันทำให้ความคิดเราลื่นไหลขึ้นเยอะ ทำงานง่ายขึ้นเยอะ เหลียวไปดูกลุ่มอื่นๆ ก็คงจะเหมือนๆ กัน

วันนี้พวกเราถูกไล่ให้ไปทำ exploration ตามกฎของ GovJam "DOING not Talking" ด้วยความที่พวกเรายังคุยกันไม่จบเบยย (ก็เมื่อวานกลับซะเร็ว -_-") เลยเดินไปคุยไปในสวนเบญแพร๊พพ แล้วเราก็ตัดสินใจไป explore กลุ่มเป้าหมายกันที่ "อนุสาวรียชัยสมรภูมิ" ^^ ซึ่งพอกลับมาเราก็เพิ่งรู้ว่า เราเป็นกลุ่มเดียวที่ออกไปไกลขนาดน้านนนนน 

เราเป็นนักวิจัยก็จริง...แต่ไม่ได้ลงพื้นที่จริงๆ มา 2 ปีละ โจทย์ของเราคือ พยายามหาว่า ประชาชนทั่วไปมีพฤติกรรมการร้องเรียน แจ้งซ่อมบริการสาธารณะที่ปรักหักพังอย่างไร? และมีพฤติกรรมการใช้มือถืออย่างไร เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ แอพ Govfix ของเราจะมีคน Download มาใช้ เราแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม คุยๆ กันได้สัก 10 คนมั้ง...

(การหาเป้าหมายสำหรับการพูดคุยนี่มันส์เสมอเลย 555+ เราเจอะคุณพี่จากสุพรรณที่ยอมให้สัมภาษณ์ แต่เขินเกินกว่าจะพูดอะไรกับพวกเรา เจอกลุ่มพี่วินที่ลุกหนีเราไปเฉยๆ ทั้งวง T_T เจอน้องๆ ที่ไม่ว่างเพราะนั่งเล่นมือถืออย่างเมามัน และคุณลุงที่บอกว่าเป็นอัมพฤกษ์ ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ -_-" สภาพแบบนี้เจอได้ทั่วไปในสนาม สมัยก่อนเจอกันทุกรูปแบบ ...เราชอบงานวิจัยก็เพราะอย่างนี้แหละ...มันเป็นเสน่ห์ของการเก็บข้อมูลจริงๆ 
------- ยังไงก็ ขอบคุณผู้ให้ข้อมูลของเราทุกท่านนะค้าาา ทั้งพี่เทศกิจ พี่ขสมก. พี่วินรถตู้ พี่แม่ค้า น้องนักศึกษา ฯลฯ)  

ผลเหรอ??? ทำไปเหอะแอพถ่าย-ซ่อม-เมือง ไม่มีคนใช้หรอก ... แล้วก็จะเหมือนกับแอพร้องเรียนของศูนย์ดำรงธรรมที่ต้องเลิกใช้ไปในที่สุด คนแบบไหนที่จะร้องเรียนอ่ะมี ช่องทางอ่ะมี แต่ทำยังไงให้แอพเป็นประโยชน์สูงสุด 

พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมที่ให้คนทั่วไปมาเป็นให้พวก Node แทน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการทำ persona, Idea creation ซึ่งกลุ่มพวกเราอับเฉามากกกกกกกกกก ไม่ค่อยมี fa มาหาเราเลย ต้องส่งเสียงเรียก 5555 และก็พบว่า พวกเราทำผิดขั้นตอน 5555+ เจอ PAT Klear ด้วย ปกติเป็นแฟนคลับอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะนางฟ้าขนาดนี้ 555+ แพทเป็นคนอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ ทั้งเรื่อง persona ทั้งเรื่อง idea creation คริๆ เค้าขยับจากแฟนคลับเป็นติ่งเคลียร์ละนะ

ล่วงเลยผ่านจาก idea creation, selection ไปถึง customer journey แต่งานนี้ไม่มีเวลามากพอที่จะลงเรื่อง service blueprint พวกเราใช้เวลา research เกี่ยวกับช่องทางการร้องเรียนมาบ้างแล้ว และในที่สุดก็ได้เลือกช่องที่ทางหลากหลายสำหรับประชาชนที่มีความถนัด และความต้องการต่างๆ กัน 

วันที่สาม บอกเลยว่า "ล่กฝุดๆ" เพราะต้อง upload ผลงานตอนบ่าย 3 ใช่มะ ถ้าจำไม่ผิด อร้ายยยยย เรามาถึงกันตอน 9 โมงนะ มีเวลาแป๊บเดียว ข้าวเขิ้วไม่ต้องกิน ขนม TCDC จัดให้ หวานๆ ทั้งน้านนนนน แชมป์ทำแอพ prototype จาก POP อะตอมวาด wire frame สุกับแมกซ์ทำช่องทางอื่นๆ เราทำ prototype เว็บกับเฟส เสร็จแล้วต้องถ่ายทำ presentation ขอบอกว่า แย่กว่ากลุ่มอื่นฝุดๆๆๆๆๆ 

Govjam Official

กลุ่มอื่นๆ นี่เจ๋งมากกกกกกกกกกกกกก คุณทำกันได้ยังงายยยยยยยยยย คุณเครื่องมือพร้อมกันมากมายอ่ะ

จริงๆ แนวทางการทำงานของกลุ่มอื่นก็สุดยอดมากเช่นกัน เวลาออกมานำเสนอเรานี่ทึ่งมาก....เพราะหลายกลุ่มคือตีโจทย์ได้แตกต่างกันมาก ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน ...เสียดายที่ไม่มีเวลาไปเดินดูเพื่อนๆ เพราะกลัวทำงานไม่ทันจริงๆ

หลังจาก present ทีมงาน TCDC ให้ช่วยกันโหวต เรื่อง presentation ที่เริ่ดที่สุด กับ prototype ที่น่าใช้ที่สุด ซึ่ง presentation กลุ่มสาวกลับดึก ชื่อแอพอะไร Local Hero นะ (เดี๋ยวไปค้นมาอัพเดตอีกที) ทำได้ดีมากถล่มทลาย

prototype ที่อยากใช้ที่สุดมี 2 กลุ่มคะแนนเท่ากัน เป็น arma box สำหรับผู้สูงวัยอยู่บ้านคนเดียว และ govfix ของพวกเรา เราว่าสิ่งที่เหมือนกันของ prototype ที่เพื่อนๆ อยากใช้ เพราะว่า มีความหลากหลายในเครื่องมือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง...เข้าใจง่าย ใช้งานง่าย ^^  ... เราได้เรียนรู้วิธีเข้าใจ และเข้าถึง แล้วนะ ^^

งาน 2 วันครึ่งนี้ ทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก เรามีทีมที่มหัศจรรย์ กระบวนการที่มหัศจรรย์ (จริงๆ ก็เว่อร์ไป๊ 555) ซึ่งดึงพลังของมนุษย์ออกมาได้ในเวลาอันสั้น งานนี้ทำให้เรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วกระบวนการทำงานปกตินี่ มันยาวยืดเกินความจำเป็นจริงๆ เนอะ more of talking 555



ไปช่วยพ่อสร้างสะพาน #2 จบลงที่ Prototype 




และเราไม่ได้ไปต่อในงาน Creative Energy #ร้องไห้หนักมากกกกกกก  


>>> สำหรับ Govfix เราอยากให้มันเกิดขึ้นจริงๆ...ซึ่งการออกแบบบริการสาธารณะมันจะหนักที่งานหลังบ้านมากๆ และต้องอาศัยพลังภายในขั้นสูง ไม่งั้นจะตายเหมือน spond เหมือนจุดจอดรถอัจฉริยะทั้งหลาย...ที่เริ่มแล้วเดินกระโผลกกระเผลก รู้สึกเสียดายภาษียิ่งนักนั่นแหละ <<<

ว่าแล้วก็ขอไปดูหนังที่ TCDC จัดฉายก่อน เพื่อบิลด์...สงสัยจะต้องเพิ่มอีกเรื่องไม่งั้นคาใจ  555+

สนใจดูรายละเอียดหนังได้ค่ะ A design film festival bangkok 2015



สาระเพิ่มเติม : (เดี๋ยวเราจะเขียนเพิ่มใน entry ถัดๆ ไปนะคะ ณ ตอนนี้หนังสือรอเพียบบบบ)

  1. QFD (Quality function deployment) เป็นเครื่องมือสำหรับการนำความต้องการของลูกค้ามาเปลี่ยนเป็นข้อกำหนดในการออกแบบ และข้อกำหนดที่จำเป็นในการผลิต ซึ่งเป็นกระบวนการเชิงระบบรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นการแก้ไข (เชิงรับ) เป็นการควบคุมคุณภาพเชิงป้องกัน (มันมี maturation ของการวางแผนอยู่เนอะ)

    หลักการสำคัญ "House of Quality"
  2. TRIZ ทฤษฎีการแก้ปัญหาเชิงประดิษฐ์คิดค้น (Theory of Inventive Problem Solving) 


ขอบคุณข้อมูลจาก 

1) https://blog.eduzones.com/friendly/40431
2) http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=97&read=true&count=true#sthash.RrL652AD.dpuf


One day | Pause


ด้วยเหตุที่เพื่อนสาวของเราต้องกลับไปดูแลกิจการ ณ ภูเก็ต และโดยนิสัยที่เราสองคนมักจะเอนจอยกับการไปเที่ยวและหาที่พักงามๆ (จริงๆ แล้วจอยเป็นเยอะกว่า 555+) หลักการของพวกเราคือ ดี ประหยัด สวย คุ้ม ^^ เดิมเคยลงในเฟสบุ๊คแต่ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆ ก็เลยจะเขียนลงในบล็อคไปเลยแล้วกัน


เราเขียนตาม Journey ของเราแล้วกัน

ก่อนพัก >> 

จอย สาวผู้ขยัน search หาที่เที่ยวและที่พักน่าพัก คือบางทีที่พักสวยๆ ก็เป็นเหตุหนึ่งให้เราเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปเที่ยว ^^ 

ไลฟ์สไตล์ของเพื่อนสาวเราคือความสวยงาม มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง วินเทจ-วิคตอเรียน คือแนวพื้นฐาน ถ้าจะเท่ก็ต้องแบบมีอะไรเก๋ๆ ที่จะดึงดูดใจเธอได้เพื่อให้ดูคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ส่วนเรา “อะไรก็ได้” 555+ เหมือนจะเป็นคนง่ายจังเนอะ คือเพื่อนจองแล้วอะไรก็ได้จริงๆ เห็นออกมาสวยหมด

สาวจอย...ต้นเรื่องของเราในครั้งนี้และทุกๆ ครั้งค่ะ ^^

ครั้งแรกที่ได้ดูรูปจากจอยแล้ว เฮ้ยสวยยย ชอบคือเป็นคนบ้าอิฐ ผิวไม้ อันนี้จริงจัง! ข้างนอกเป็น Chic loft เท่ๆ ไปๆๆ แต่ฟ้าไม่ค่อยเข้าข้าง ข้อจำกัดเยอะ...มีเวลาถ่ายรูปน้อยมาก เสียดาย T_T

การเดินทาง : “ค่อนข้าง” สะดวก เพราะอยู่ในซอย สุขุมวิท 26 เดินจากสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงศ์ ทางออกฝั่งเดียวกับเอ็มโพเรียม ที่บอกว่า “ค่อนข้าง” เพราะ 
ข้อ 1) ถ้าแบกเป้เนี่ย สบาย แต่ถ้าเป็นกระเป๋าลากหรือถือนี่ยากแน่ ทางเดินสาธารณะของกรุงเทพ เดินง่ายที่ไหน :( 
ข้อ 2) เส้นทางแลดูมืดๆ เหมือนจะไม่น่าปลอดภัยนักสำหรับผู้หญิง แต่ระหว่างทางมีร้านบาร์ คาราโอเกะสไตล์ญี่ปุ่นอยู่เยอะ แล้วก็มีโรงแรมอยู่ประมาณ 3 แห่งก่อนถึง One day คือ Arize hotel, Double tree by Hilton และก็ 49 Lucky Hotel 555+ ก็คงปลอดภัยแหละ 
ข้อ 3) ป้าย One day เห็นง่ายกลมๆ ตัวอักษรขาวบนพื้นดำ เด่นตอนกลางคืน
  
เข้าพัก >> 

One day BKK เป็นทั้ง Hostel และ Co-working space ที่ตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปท์ชัดเจน ว่า One day | Pause เพราะ เราจะทำให้หนึ่งวันในกรุงเทพของคุณ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำในฐานะที่เป็น “วันหนึ่งในชีวิต” [We love to make you feel ONEDAY in Bangkok to be memorable as ONEDAY in your life]  

เข้าไปแล้วรู้สึกทึ่งกับสถานที่มากๆ นะ (เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่าเป็นโกดังเก่า ตอนแรกคิดว่าเป็นอาคารสำนักงานที่กล้าทำเพดานสูงขนาดนั้นซะอีก คาดว่าไม่ต่ำกว่า 4 เมตรป่ะ แค่ประตูก็น่าจะ 2.5 แล้วมั้ง) 


ความสูงของหน้าต่าง เทียบกับคนตัวเตี้ยๆ อย่างเรา


ประทับใจในสถานที่มากๆ ค่ะ สวยมาก คือทุกอย่างเป๊ะไปหมด ... (ไปครั้งที่สองสิ่งที่ไม่เป๊ะมีจุดเดียวมั้ง...ห้องน้ำชั้นล่างง่ะ) คือบางที่อาจจะมีเก็บงานไม่ละเอียดอะไรอย่างนี้ แต่นี่คือแบบ งานเนี๊ยบสุดๆ บรรยากาศจะรู้สึกไม่เหมือนอยู่ใน กทม. เลยเชียว แต่มีความพยายามทำให้รู้สึกว่าอยู่ในเมืองไทยบ้าง ตรงภาพที่ใช้ตกแต่งทางขึ้นบันได เป็นภาพขาว-ดำ ของเมืองไทยในมุมต่างๆ ส่วนใหญ่เป็น กทม. ภาพระหว่างทางเดินไปห้องจะเป็นภาพเกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง และที่สำคัญ ด้านล่างส่วนที่เป็นห้อง Common มีตู้โค้ก! คือแบบ...ไทยน้ำทิพย์ -_-! แต่ความรู้สึกตอนเราเดินเข้าไปตอนกลางคืน แสงสวยมากเลย  


โถงบันไดทางขึ้น ภาพถ่ายสวยๆ ทั้งนั้นค่ะ



บริเวณด้านนอกก่อนเข้าที่พัก จะผ่านร้านกาแฟ Casa Lapin และ
Oneday | Forward Coworking Space ค่ะ

ห้องพัก >> ที่นี่มีห้องพักที่ตกแต่งแตกต่างกันหลายแบบ เราพักห้อง f อยู่ริมและเดินไกลมาก แต่โอเค ชอบบรรยากาศตอนเดิน อารมณ์ประมาณเด็กหอ รอบข้างเต็มไปด้วยอิฐ 555 (แต่ไม่หลอนนะ) ขนาดห้อง ไม่เกิน 15 ตรม. เตียงใหญ่และนอนสบายมาก ^^ พื้นที่รอบๆ เตียงจึงมีไม่มากนัก ความสะดวกเรื่องของที่แขวนเสื้อผ้าไม่ค่อยสะดวกนัก สำหรับคนที่อาจจะชอบการมีตู้เป็นสัดส่วน ผนังห้องไม่เก็บเสียงนะจ้ะ อาจจะทรมานนิดนึงสำหรับคนที่ sensitive แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา 555+ ด้วยความที่ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้ห้องน้ำรวม พื้นที่สำหรับแต่งตัวจึงไม่มีนะคะ มีกระจกจริง แต่แสงไม่พอ ถ้าจะทำงานก็มาทำข้างล่าง


ภาพบน : เห็นขวดน้ำทิพย์มั้ยคะ สองขวดเขียวๆ
ภาพล่าง : ข้างเตียงมีพื้นที่เท่าที่จอยยืนค่ะ

น้ำ >> ได้น้ำทิพย์มาสองขวดค่ะ ด้านความพอเพียงสำหรับเราก็โอเค แต่ว่า อารมณ์แบบห้อง chic loft/Nordic มากๆ แต่เจอขวดน้ำทิพย์ไรงี้ มันทำให้รู้สึกขัดตาง่ะ 


Wifi >> มันก็สำคัญนะ ไม่รู้ว่าเราอยู่ในห้องที่ไกลจาก router มากหรือเปล่า สัญญาณมันอ่อนมาก ข้างล่างคงดีมั้ง

สภาพภายในห้องและ key card ค่ะ key card ที่นี่จะมีเสียงเตือนบ่อยนิด ต้องปิดให้สนิทจริงๆ


อาหารเช้า >> ผู้เข้าพักจะได้คูปองอาหารเช้าที่มีช่องไว้สำหรับให้เลือก ประเภทของไข่และน้ำค่ะ เป็น Gimmick เล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ อาหารใช้ได้นะคะ ไข่อร่อยดี ^^ รับอาหารเช้าที่ห้องอาหาร One day ค่ะ มีรายการอาหารหลากหลายให้เลือกสั่งได้นอกจากเซ็ทอาหารเช้านะคะ 


ล่างซ้าย : อาหารที่สั่งนะคะ
ภาพบนในจานเราคือ สิ่งที่จะได้รับจริงค่ะ (ยกเว้นชาเขียวปั่นนะ)
สองสาวยืนโพสต์เก๋ๆ ตรงกระจกหน้าห้องอาหารค่ะ


ภายในห้องอาหารค่ะ ชื่อ One day ด้วยรึเปล่าน้าาา?

ตรงด้านหน้าติดกับห้องอาหารจะเป็นร้านกาแฟ Casa Lapin นะคะ ชาเขียวอร่อยมากอ่ะ


Casa Lapin


พื้นที่ส่วนรวม >>

ห้องครัว: สวยมากกกกก เด่นสุดตรงโต๊ะกินข้าวส่วนกลาง ต้นไม้ตรึม แสงสวยทั้งเช้าและกลางคืน บรรยากาศสไตล์ Barn (เค้าว่ามันคือ Rustic loft ล่ะ) และด้วยความที่เราเฟอะ ขนาดลืมใส่การ์ดลงไป กดเพลินโดยไม่อ่านอะไรเลย เสียดายรูปภาพพพพ ...สิ่งอำนวยความสะดวก มีตู้เย็น (จริงๆ ถ้าเป็น Smeg จะสวยกว่านี้ 555 ชั้นหวังอะไรอยู่!) ตู้กับข้าว...อืม จำไม่ผิดนะ ตู้กับข้าว -_-“ กระจกที่ทำเป็นเขียงหรือเขียงที่ทำเป็นกระจก อันนี้ชอบ อ่างล้างจาน


มองเห็นเขียงกับตู้กับข้าวมั้ยคะ? ... แน่ะ บอกว่าอย่ามองตู้เย็น


ห้องพักผ่อนส่วนกลาง: มีเครื่องคอมส่วนกลางให้ เครื่อง อารมณ์ประมาณอยู่ในมหาลัย 555 โซฟาน่าเอนอีกหลายตัว ตรงบันไดมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เครื่อง
ห้อง entertainment ประมาณดูหนังฟังเพลง ห้องนี้สวยและน่าสบายมากๆ (แต่ไม่มีเวลาจะใช้ T_T)    


ภาพบน : ด้านนอกก่อนเข้าร้านอาหาร
ภาพล่าง : ห้อง common ค่ะ


ห้องน้ำห้องน้ำรวมเริ่ดอ่ะ กว้าง เพดานสูง ชอบมาก มันหอพักดีๆ นี่เอง 555 อ่างล้างหน้าเยอะทั้งจำนวนและไฟ (มันร้อนอ่ะ) อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างไดร์เป่าผมมีหลายอันดี ห้องแต่งตัว 3 ห้องย่อย ตะกร้าใส่ผ้ากระจุกกระจิก ห้องอาบน้ำมีแชมพูและครีมอาบน้ำ น้ำแรงดีมาก ที่ทำน้ำอุ่นอยู่สูง (คือไม่ดีสำหรับคนเตี้ยอย่างเรา จะปรับอะไรก็มองไม่เห็น ^^”)


บนซ้าย : ห้องสุขาอยู่ต้นๆ ห้องอาบน้ำคือส่วนที่อยู่ด้านใน
บนขวา : เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ
ล่างซ้าย : โถงทางเดิน
ล่างขวา : อ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง...ตรงข้ามกับอ่างจะเป็นห้องแต่งตัวค่ะ 


เจ้าหน้าที่ >> เฉพาะ front พบทั้งหมด คนด้วยกัน (นิสัย) น่ารักมากๆ คน ที่เหลือกลางๆ ค่ะ คือเคยเจอที่อื่นที่ friendly กว่านี้มากง่ะ บางทีตรงนี้มันเป็นข้อจำกัดของคนเหมือนกันนะ บางคนก็หน้ายิ้มเสมอ บางคนก็อาจจะดูดุแต่จริงๆ friendly

ความคุ้มค่า >> เราว่าคุ้มนะ เสพการตกแต่งสวยๆ ให้อิ่มไปเลย ราคา 1500 เราว่าโอเค เพราะแถวๆ ศาลาแดงก็ 1200++ เรียบง่ายกว่านี้เยอะ Lab D ก็เรท 13-1400 มั้งนะ (ห้องเดี่ยว ห้องน้ำรวม) ห้องจิ๋วกว่ามาก ห้องน้ำก็ไม่อลังเท่า     


หลังพัก >> 

ก็นั่งเขียน Blog อยู่เนี่ยแหละด้วยความชื่นชม ^^ ถ้าไม่พอใจก็คงจะมี feed back เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนเราถ้าไม่ต้องใช้อะไรประจำ ก็จะไม่บ่นนะ แค่ไปครั้งเดียวและไม่กลับไปอีกเท่านั้นเอง...แต่เดี๋ยวนี้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปนะคะ คือกล้าที่จะ voice มากขึ้นอันนี้ก็ประมาทไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าแก้ไขตามคนที่ voice แล้วเขาจะกลับมาใช้อีกนะ ถ้ามันเป็นจุดที่มีผลกระทบกับคนเยอะๆ ปรับได้ก็ปรับ  

เราเข้าไปอ่านรีวิว หลายๆ คนชื่นชมเรื่องการตกแต่งเหมือนเรา แต่ด้วยความที่กรุงเทพมีตัวเลือกเยอะมาก นักท่องเที่ยวบางคนก็บอกว่าอาจจะหาตัวเลือกใหม่ๆ ต่อไป 


รอบหน้า สาวจอยจะพาเราไปที่ไหนน้าาาา...?


สำหรับการพักในโรงแรมแบบปกติ คงเป็นกรณีพิเศษขึ้นมาหน่อย ประมาณว่า ทำงานทำการ แบบหาที่พักสำหรับจัด outing คือมุ่งไปที่แนว MICE เลย เพราะแต่ละที่ต้องเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนภายในงบที่มีอยู่ 555 ซึ่งเสียงตอบรับก็โอเคนะ ถ่ายรูปออกมาสวยแน่นอน (ต่อมาก็ไม่ได้ทำละ 555+) ไว้จะเอาที่พักตอนไป Outing มารีวิว 

เวลารีวิวที่พัก หลักการที่ใช้คือ อย่าเชื่อรูปโฆษณามาก เพราะรูปจากโปร อย่างใน “ชานไม้ชายเขา” คนอะไรถ่ายรูปสวยโคตรๆ กับพวกเราถ่ายออกมามันคนละเรื่องกัน พยายามดูรูปที่คนธรรมดาๆ รีวิว จะไม่ผิดหวังมากนัก 
บางที่ก็รูปออกมาสวยมากอย่าง รร. แห่งหนึ่งแถวพัทยา พอไปถึงมันเก่าสุดๆ โทรม อับ คือประสบการณ์ที่ได้รับติดลบเลยทันที ต้องไปดูและสัมผัสเองเท่านั้นค่ะ 



เปิดหัวเรื่องด้วยชื่ออัลบั้มล่าสุดของศิลปินโปรดกันเลยทีเดียว 555+

เมื่อเช้าคุยกับน้องชาย (ซึ่งก็เพิ่งผ่านวันเกิดไปไม่กี่วัน แก่ๆ กันแล้ว) ก็คุยกันเรื่อง "โค้งปกติ"...ว่า




คนบนดินอย่างเราไม่มีวันรู้ "แผนของเบื้องบน" เพราะอยู่กันคนละระนาบ

เฉกเช่นที่ถ้าเราไม่มองจากมุมสูง เราก็จะไม่เห็นเลยว่า
คนที่วิ่งมาราธอนวิ่งตามๆ กันกระจายเป็นโค้งปกติ 
(วันก่อนเราอยู่ -2sigma -_-")

รถที่วิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนน ถ้าตัดช่วงที่ถนนยาวพอประมาณวิ่งได้สัก 1 ชั่วโมง
มันจะเห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า โค้งปกติ ^^ 

อันนี้ก็เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง

งั้นก็มาคุยกันเรื่อง "ธรรมชาติ" กัน




วันเพ็ญขึ้น 15 เดือน 6 นี้ เด็กๆ ก็จะถูกสั่งสอนให้รู้และเรียกวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา และเป็นวันสำคัญอย่างไรคะเด็กๆ ???? 

เราก็ตอบกันเจื้อยแจ้ว ... เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานค่ะคุณครู ...[เสียงยานคางงงง] แล้วในหัวก็จะมีเสียงเล็กๆ ถามกับตัวเองเสมอว่า...แล้วยังไงอ่ะ??

ในราวปี พ.ศ. 2542 สหประชาชาติได้มีมติให้วันนี้เป็นวันสำคัญของโลก เชียวนะ!

ปีนี้วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน เพราะปีนี้มีเดือน 8 สองหน ปกติวันนี้จะต้องอยู่ในเดือน พฤษภาคม (รู้สึกว่าวันหยุดมาถึงช้าาาา ...ไม่ใช่!)

ตัดมาที่ตอนโตเลยละกัน ...

ในมุมมองของเรา วันนี้เป็นเหมือนวันที่ระลึก ถึงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ... แต่สิ่งที่ทำให้คนธรรมดาคนนี้ ไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่ปาฏิหารย์ที่เกิด ตรัสรู้ และตายในวันเดียวกันเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าคนๆ นี้มีความรู้ที่ลึกซึ้งมาก ขนาดที่ถึงระดับรู้ "ใบไม้ในป่าทั้งป่า" 

ว่าโดยย่อ ... วันวิสาขบูชาคือวันที่ธรรมชาติเล็กๆ กับธรรมชาติใหญ่ๆ หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นวันที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะ "รู้"



นอกจากจะรู้แล้ว พระพุทธองค์ยังได้พากเพียรถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้รู้ตามในประเด็นสำคัญๆ ที่เห็นว่ามันจะเป็นการพ้นไปจากการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ บอกวิธี บอกเคล็ดลับ และย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าใครอยากจะไปถึงเป้าหมายเดียวกัน ก็ไม่มีหนทางลัดสั้น ต้องทำ ต้องปฏิบัติด้วยนะ มันถึงจะอิน [จะเรียกว่าพ้นทุกข์หรือออกจาก matrix ก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกเนอะ]

"I'm trying to free your mind, Neo. But I can only show you the door. You're the one that has to walk through it" Morpheus

พระสมณโคดมเลือกมาสอนเพียงไม่กี่ประเด็น ซึ่งเป็นแค่หยิบมือเดียวจากใบไม้ทั้งหมดในป่า โดยพระอัสสชิสรุปสิ่งที่ท่านสอนตอบพราหมณ์อุปปติสสะ (พระสารีบุตร) ไว้อย่างงดงามว่า  ...
"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้"
พระไตรปิฎก เล่มที่ 4 พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 1


Credit : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?

-------------------------------

ความรู้ทั้งหมดที่พระพุทธองค์รู้ ที่ว่าเหมือนใบไม้ในป่าทั้งป่านั้นคืออะไร? ความรู้ที่ว่านั้นก็คือ ความรู้เกี่ยวกับ "กฎของธรรมชาติ" พระท่านเรียก "นิยาม" ซึ่งมีอยู่ 5 อย่าง 

มีอะไรยังไงบ้าง? มีธรรมนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม กรรมนิยามและจิตนิยาม 

1) ธรรมนิยาม (general laws) : ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ล้วนมีลักษณะร่วมกัน 3 อย่าง คือ 
  • ทุกขัง (pain) - ความบีบคั้น ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความคับแค้นใจ ซึ่งเป็นแรงผลักทำให้วงจรปฏิจจสมุปบาทหมุน...เฉพาะในสิ่งมีชีวิตที่มีจิต ถ้าเป็นก้อนหิน ดิน หรือเซลล์อย่างต้นไม้จะเรียก tension หรือ stress พวกความเค้น ความเครียด ที่เป็นแรงผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   
  • อนิจจัง (impermanence) - การเปลี่ยนแปลง แบบ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป (กราฟจะเหมือนโค้งปกติแหละ  แต่ไม่ใช่นะ  LoL) 
  • อนัตตา (egolessness and non-substantiality) - การไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวร ที่จะสามารถควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นของอะไร มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดา     

2) อุตุนิยาม (physical laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ซึ่งถ้าจัดกลุ่มตามวิชาฟิสิกส์ จะแยกได้เป็น กลุ่มของแข็ง (Solid mechanics) หรือธาตุดิน กลุ่มของไหล (Fluid mechanics) หรือน้ำ ลม และไฟ กลุ่มอากาศ (Space)  สุญญตา ที่ว่าง (เวลาปฏิบัติต้องนั่งดูพวกนี้ในตัวเราแหละ...มันเป็นเรื่องธรรมชาติ) 

[ในหลวงทรงพระปรีชาในกฎนี้ระดับเทพที่เรียกน้ำได้เลยนะ ^^]


Credit : ThaiGoodView.com

3) พีชนิยาม (biological laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์ อันนี้จะใหญ่และซับซ้อนขึ้นมาอีกนิด เพราะมันเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์และสืบต่อข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งถูกทำให้เป็นระบบ ระเบียบ ด้วยกลไก "ธัมมตา 3" คือ สมตา - การปรับสมดุล, วัฏฏตา - การหมุนเวียน และชีวิตา - การมีหน้าที่ต่อกัน (โค้งปกติและทฤษฎีแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางมีประวัติการค้นเจอจากตรงนี้ แนะนำอ่าน ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต ค่ะ ^^) 


4) จิตนิยาม (psychic laws) : กฎธรรมชาติที่เป็นกลไกการทำงานของจิต โดยในพุทธศาสนาเรื่องจิตจะมีอธิบายไว้เยอะมาก ทั้งส่วนย่อ ไว้ให้เข้าใจและปฏิบัติตามได้ กับส่วนละเอียดที่มีอยู่ในพระอภิธรรม เพราะเรื่องจิต (Mind) นี้เป็นเรื่องสำคัญของคน รายละเอียดเกี่ยวกับจิตจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวจิต (Mind) ที่เป็นเหมือนน้ำเปล่าในภาชนะ และเจตสิก (Mental factor, mental concomitants) ที่เป็นเหมือนสีที่ใส่ลงมาผสมกับน้ำ ทำให้เกิดเป็นน้ำสีต่างๆ มี 52 อย่างด้วยกัน



จิตอย่างเดียวจะไม่สะท้อนอะไร จนเมื่อมีเจตสิกมาอยู่ด้วยจะทำให้เกิดสิ่งที่เราคุ้นเคย ที่เรียกว่า ผัสสะ (contact) เวทนา (feeling) สัญญา (perception สัญญาคือ การจำได้หมายรู้ รับรู้ แยกแยะได้ค่ะ) เจตนา (volition or will) เอกัคคตา (concentration) ชีวิตินทรีย์ (vitality) มนสิการ (attention) วิตก (thought conception) วิจาร (discursive thinking) อธิโมกข์ (determination) วิริยะ (effort) ปีติ (joy) ฉันทะ (zeal) โมหะ (delusion) อหิริกะ (shamelessness) อโนตตัปปะ (lack of moral dread) อุทธัจจะ (restlessness) โลภะ (greed) ทิฏฐิ (wrong view) มานะ (conceit) โทสะ (hatred) อิสสา (envy, jealousy) มัจฉริยะ (stinginess) กุกกุจจะ (worry) ถีนะ (sloth) มิทธะ (torpor) วิจิกิจฉา (doubt) สัทธา (faith) สติ (mindfulness) หิริ (conscience) โอตตัปปะ (moral dread) อโลภะ (non-greed) อโทสะ (non-hatred) ตัตรมัชฌัตตตา-อุเบกขา (equanimity) กายปัสสัทธิ (tranquillity of body) จิตตปัสสัทธิ (tranquillity of mind) กายลหุตา (agility of mental body) จิตตลหุตา (agility of mind) กายมุทุตา (elasticity of mental body) จิตตมุทุตา (elasticity of mind) กายกัมมัญญตา (adaptability of mental body) จิตตกัมมัญญตา (adaptability of mind) กายปาคุญญตา (proficiency of mental body) จิตตปาคุญญตา (proficiency of mind) กายุชุกตา (rectitude of mental body) จิตตุชุกตา (rectitude of mind) สัมมาวาจา (right speech) สัมมากัมมันตะ (right action) สัมมาอาชีวะ (right livelihood) กรุณา (compassion) มุทิตา (sympathetic joy) ปัญญินทรีย์ (wisdom)

ถามว่าเราจำเป็นต้องจำชื่อทั้งหมดมั้ย? ไม่จำเป็นหรอก แต่เราทุกคนรู้สึกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจิตเราบ้าง ท่านให้รู้สภาวะนั้นๆ เป็นสำคัญมากกว่าจะไปตั้งชื่อกำกับ 

(แน่นอนว่าเราชอบเรื่องนี้มากๆ ขอเขียนเยอะหน่อย การศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสนุกมากจริงๆ ราวกับอ่านหนังสือจิตวิทยาดีๆ ระดับปรมาจารย์...เวลาเรียนจิตเราจะนึกถึงศัพท์พวกนี้กลับไปกลับมาตลอดเวลา  ^^ อยู่ใกล้เราระวังติดเรื่องพวกนี้นะ เพราะเราคลั่งมาก LoL) 

      
5) กรรมนิยาม (karmic laws) : กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับเหตุและผล action = reaction ที่เกิดในระดับจิต เน้นที่การกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนา ต้องมีเจตนานะคะถึงจะเกิดพลังกรรม ซึ่งจำแนกได้หลายแบบเกินกว่าคนจะจินตนาการไปถึง (เป็นอจินไตย) รู้พอที่จะมีความเกรงกลัวต่อผลที่จะเกิดขึ้น จนเพียงพอที่จะตั้งตนไว้ชอบก็เพียงพอแล้ว   
  
เมื่อเข้าใจกฎ รู้วงจรปฏิจจสมุปบาท (Paticca-samuppada) จะพบว่าในสายเกิด...ทุกอย่างมีเหตุของมันและจะเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสมบริบูรณ์...

ในสายดับ...ก็ต้อง Unlock ด้วยแนวปฏิบัติทั้ง 8 (The 8 fold path) ที่ประกอบด้วย 

  • สัมมาทิฏฐิ (Samma Ditthi-Complete or perfect vision) 
  • สัมมาสังกัปปะ (Samma Sankappa-Perfected Emotion or Aspiration) 
  • สัมมาวาจา (Samma Vaca-Perfected speech) 
  • สัมมากัมมันตะ (Samma Kammanta-Integral Action) 
  • สัมมาอาชีวะ (Samma Ajiva-Proper livelihood) 
  • สัมมาวายามะ (Samma Vayama-Complete or full effort, Diligence) 
  • สัมมาสติ (Samma Sati-Complete or thorough awareness,
    right mindfulness) 
  • สัมมาสมาธิ (Samma Samadhi-Complete or perfect concentration)  

ซึ่งจะพาเราออกจากวงจรในที่สุด ... 

ปัญหามีอยู่อย่างคือ 

เราอยากจะออกจริงๆ เหรอ? 


"เรา" ตัวกูนั่นแหละ ...ทนได้หรือกับการที่จะต้องสูญสลายไป ...
(จากคำพูดนี้รู้เลยว่า กิเลสหนามากกกก 555+) 

ย้อนกลับไปเรื่อง "แผนของเบื้องบน" 

ชีวิตเป็นเหมือนวิถีขี้เมา ที่เราไม่มีวันเดาได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เพราะมันเกิดขึ้นอย่างไร้ระเบียบมากๆ ถึงเรียกว่า วิถีขี้เมา (อ่านได้ในชีวิตนี้ฟ้าลิขิตค่ะ) 


อร๊ายยยย ยาวจุงงงงง

ที่จริงวันพระใหญ่ควรจะละเว้นจากการขับร้องและประโคมดนตรีนะ ^^ แต่วันนี้ยังไม่ถึง ดูคอนเสิร์ตได้ 555+




Credit : ขอบคุณข้อมูลดีๆ เรื่องนิยาม 5 จาก
คุณวิมล ไทรนิ่มนวล, http://www.naewna.com/columnonline/11322
https://www.facebook.com/ThrrmaChati/posts/657266214287307
Simple buddhism term from http://www.buddhanet.net/e-learning/ by John Allan
เจตสิก 52, พจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=355

สะพานภูมิพล : credit http://teetwo.blogspot.com/2010/11/23

"พ่อ" ของเราไม่ใช่ใครหรอก ก็ "พ่อ" ของคนไทยทุกคนทั่วประเทศนี่แหละ
และสะพานที่ว่านี้ก็คือ สะพานเชื่อมระหว่างใจคน ไม่ใช่แค่สะพานที่เป็นสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น

ขอยกกระแสพระราชดำรัสในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะชายแดนใต้ ว่า
"เข้าใจ" "เข้าถึง" "พัฒนา" มาเป็น Theme ในการคุยกันดีกว่า

ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับภาครัฐเสียเยอะ โดยเน้นที่การเก็บข้อมูลเพื่อนำไปเป็นผลป้อนกลับสำหรับการพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐ ที่ส่วนมากคือบริการสาธารณะต่างๆ ตลอดระยะเวลา 18 ปี เราพบอะไรบางอย่าง

ที่น่าเสียดายมากที่สุด คือภาครัฐ มีคนเก่งๆ มากมาย เก่งระดับโลกด้วยนะ แต่ส่วนใหญ่ถูก
"ตอนความคิดสร้างสรรค์"

เป้าหมายของการทำงานถูกเขียนด้วยคำโต สวยงาม หรูหรา แต่ว่าแปลงลงสู่การปฏิบัติไม่ได้
เหมือนจะทำเพื่อ "ประชาชน" แต่จริงๆ กลับถูกบังคับให้รับใช้คนไม่กี่คน 555+

ย้อนกลับไปดูที่พระราชดำรัสใหม่อีกที "เข้าใจ" "เข้าถึง" "พัฒนา" ....
ในการออกแบบกระบวนการให้บริการสาธารณะ เพื่อประชาชน เราใช้หลักการของพระองค์ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน? 

เรา "เข้าใจ" ผู้ใช้บริการมากแค่ไหน หรือเป็นเหมือนโลงศพที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจคนตาย??? [ศพไม่ได้เป็นลูกค้านะครัช]
TQA SEPA PMQA #3 ย้ำว่าเราต้องฟังเสียงจากผู้ใช้บริการเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาทำเป็นสารสนเทศในการบริหารจัดการ TQA SEPA PMQA #4 #2 


Design Ladder : Service Design Workbook, by TCDC 


สิ่งต่างๆ ที่บอกว่า เราสร้างเพื่อเขานั้น พวกเขา "เข้าถึง" ได้มากแค่ไหน และอย่างไร? TQA SEPA PMQA #6 แนะนำให้เราออกแบบระบบงานที่ดีที่สุดเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดที่จะส่งมอบให้กับลูกค้า TQA SEPA PMQA #3 #2

ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะเป็น Myth เกี่ยวกับมุมมอง และเถียงกันไม่จบแน่นอน

เราพบว่าปรับปรุงกระบวนการยังไงมันก็มีบางอย่างที่คนใช้ผลิตภัณฑ์และบริการรู้สึกว่า "เข้าถึงไม่ได้" อยู่ดี

จากมุมมองของผู้ผลิต จะมองว่า Functional คือความสำคัญสูงสุด และมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพในการทำงานเชิงวิศวกรรม เช่น ลดต้นทุน ลดของเสีย ลดเวลาในการทำงาน ลดเวลาในการส่งมอบ ฯลฯ มากกว่า เพราะเรื่องแบบนี้วัดเป็นตัวเงินได้ง่ายและรวดเร็ว

เราเห็นเครื่องวัดรังสีนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้ดีมาก แต่แบบว่า ... ทำให้สวยน่าใช้กว่านี้ก็ทำได้ แต่ไม่ทำอ่ะ ด้วยเหตุผลโน่นนี่นั่น (แล้วจะมี business development unit ทำไมคะ ^^") 

สายไฟฟ้าช่วยสวยกว่านี้หรือเอาหลบไปหน่อยได้มั้ยคะ? (Industrial style ก็มีนะคะแหมมม)

หรืออีกที่หนึ่ง ก็สวยเกินไป สวยจนรู้สึกเกินเอื้อม น่ากลัวววว  ไม่กล้าเข้าใช้บริการ นี่ก็เข้าไม่ถึงอีกเหมือนกัน  >.< 

ว่ากันตามตรง "ผู้ใช้บริการ" ซึ่งเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ Technician หรือผู้บริหารในองค์กรนั้นๆ ย่อมมีพื้นฐานที่แตกต่าง และไม่ได้มองแบบเดียวกัน จริงๆ แล้วต่างกันมากมาย

ทำอย่างไรให้เทคโนโลยีง่ายต่อการเข้าถึงของคนธรรมดา ...
ถึงความรักจะออกแบบไม่ได้ แต่ผลิตภัณฑ์และบริการออกแบบได้นะคะ 555+

การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ "เข้าถึง" ได้ง่าย ในขณะที่คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของการใช้งาน (Functionality) ความเสถียรของระบบ (Reliability) และ Usability ที่ไม่ได้สักแต่ว่าง่ายอย่างเดียวนะคะ เดี๋ยวเกิดกรณีอย่าง Enron อีก ควรจะเป็นเป้าหมายที่ได้รับการเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร

เพื่ออะไร? ....

เพื่อสร้างความพึงพอใจในการใช้งานในมุมมองของผู้ใช้ และเมื่อความพึงพอใจมาจากความ "เจ๋ง" ของการใช้งาน ยิ่งจะทำให้เกิดการใช้ซ้ำด้วยความพึงพอใจ และพัฒนาไปเป็นความผูกพัน (Engagement) และยิ่งรู้สึกว่าใช่มากเท่าไรก็จะพัฒนาไปสู่ความภักดี (Loyalty) ในที่สุด

ใครว่าการออกแบบวัดค่าไม่ได้ ข้อมูลจาก Service design workbook ของ TCDC ระบุว่า เงิน 1 ปอนด์ที่ลงทุนไปในโครงการออกแบบ จะสามารถสร้างรายได้กลับคืนมาไม่ต่ำกว่า 25 ปอนด์ ภายในกรอบระยะเวลา 2 ปี และถ้าเป็นงานบริการสาธารณะด้วยแล้ว 1 ปอนด์นั้นจะให้ผลตอบแทนกลับมาถึง 26 ปอนด์เลยทีเดียว (p.025)  

เราได้วางแผนเพื่อ "พัฒนา" อย่างต่อเนื่อง เพียงใด? หรือคิดเพียงว่าทำพอให้ได้ใช้งบประมาณในแต่ละปีตามที่ตั้งไว้ครบเป็นปัจจัยสำคัญ จากข้างบนจะเห็นว่าเราใส่ #2 ไว้ทุกอัน นั่นแปลว่า ข้อมูลต่างๆ ล้วนต้องนำมาประกอบร่างเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ TQA SEPA PMQA #4 #2 และทำให้เกิดการไหลเวียนจากการคิด ไปสู่การปฏิบัติและสะสมผลจากการปฏิบัตินั้นต่อไป

นี่แหละคือความลึกซึ้งของ "พ่อ" ของแผ่นดิน ทำอะไรไม่ใช่แค่สักแต่โยนใส่ๆ แล้วบอกว่าทำแล้วๆ เสร็จแล้ว ตามแผนที่ตั้งไว้ 100% ทำอย่างนั้นทำไปเถอะ 10 ชาติก็ไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิด engagement ไม่เกิด Loyalty ต่อประเทศไทย แล้วเราจะไปโทษใครได้ ในเมื่อเราตีความพระราชกระแสไม่ออกเอง

พวกเราอาจจะพลาดไปเล็กๆ เพราะมัวไปเน้นกันที่ work flow และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตตลอดมาไม่ว่าจะเป็นการให้บริการขนส่ง การให้บริการสาธารณสุข ฯลฯ จนกลายเป็นตัวอย่างคลาสสิคในวงพวกเราว่า

"จะให้หมอมาลดระยะเวลาการตรวจได้ยังไง ก็คนรอรับบริการเยอะ และการตรวจก็ต้องใช้เวลา จะให้ลดรอบจนตรวจเสร็จเร็วๆ ก็จะทำงานพลาดอีก" 555+ (อันนี้มีการเคลียร์กันภายหลังแล้ว) หรือ

"ไม่ต้องทำให้สวยหรอก จะเอางบประมาณมาจากไหน"
ภายใต้คำที่ไม่ได้พูดออกมาว่า ต้องเอาไปจ่าย (ท้าวแชร์) อีกเยอะ -_-"





Entry # 2 เราจะมาเล่าประสบการณ์ของการเข้าร่วมเป็น Jammer ใน BKK Public Service Jam 2015 นะคะ