ธรรมบรรยายบทดังกล่าว เป็นบทที่ดีมากๆ ให้แง่คิดที่ถูกต้อง ตรงความจริง
ควรค่าแก่การตั้งไว้เป็นเป้าหมายในชีวิต
ที่สำคัญ เพิ่งรู้ว่าเรื่องสังข์ทองมีปริศนาธรรมล้ำลึกซ่อนอยู่ !!!
-------------------------------
"ด้วยเหตุนั้น
การแสวงหาคู่รักที่ดีที่สุดจึงอย่าแสวงหา จงประพฤติตนให้เป็นผู้ถูกแสวงหา เพราะผู้ที่มีธาตุเหมือนกันเท่านั้นจะเล็ดลอดเข้ามาโดยสมัคร ถ้าท่านจะย้อนถามว่า ถ้าในโลกนี้มันเกิดมีแต่อ้ายเข้อ้ายโขงแล้ว เราไม่ตายหรือ อยู่คนเดียวเปลี่ยวจนตาย ข้อนี้อย่าได้กลัวเลย
ถ้าพลาดจากคู่รักในโลกนี้ จะได้รับขึ้นสู่สวรรค์ คือแต่งงานกับพระธรรมเจ้า นี่ไม่ใช่คำพูดเล่นหรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ถ้าประพฤติธรรมเข้าไป มันจะได้เห็นความรัก ไม่ใช่ได้รักอะไร มันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ธรรมชาตินี้อภิบาลชีวิตอยู่ คือพระผู้เป็นเจ้าที่คุ้มครองสรรพสัตว์นี้อยู่ ส่วนชีวิตคู่มันเป็นเพียงวิกฤตการณ์ที่เราว้าเหว่และอ่อนแอเท่านั้น โปรดอย่าปากแข็งเป็นอันขาด เดี๋ยวจะมีการประณามว่าพวกที่ไม่มีคู่เป็นพวกองุ่นเปรี้ยว ฯ
--------------------------------
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/khemananta/khemananta-15.htm
ขอคัดลอกไว้อ่าน ณ ที่แห่งนี้
ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์ และนักศึกษาผู้สนใจในหัวข้อของธรรมบรรยายทั้งหลาย
สำหรับหัวข้อที่บรรยายในวันนี้ ดูค่อนข้างจะเสี่ยงหรือไม่ก็คงทำความแปลกใจให้แก่ท่านผู้ฟังบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าว่าหัวข้อนี้ได้ถูกพูดหรือบรรยายโดยผู้ที่เป็นฆราวาส ก็คงจะไม่น่าแปลกประหลาดอะไร แต่ครั้นท่านทั้งหลายทราบว่าอาตมภาพผู้เป็นบรรพชิตเข้ามาพูด ในหัวข้อที่เรียกว่า ชีวิตกับความรัก ด้วยแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้แปลกใจว่า ทำไมต้องมาพูดกันเรื่องนี้ด้วยเล่า ข้อนี้อาตมภาพอยากจะทำความตกลงกับท่านผู้ฟังสักเล็กน้อยก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่า ความรัก นั้น มันไปปะปนกับสิ่งที่เรียกว่า กามารมณ์ จึงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดเพราะไปหลงเข้าใจว่า ความรักกับกามารมณ์เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นพอเห็นเรื่อง ชีวิตกับความรัก เท่านั้น ทุกคนก็นึกถึงว่าชีวิตกับเรื่องทางเพศ ซึ่งที่จริงเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเหมือนกันในชีวิตของมนุษย์ แต่คราวนี้ขอให้อาตมภาพนำท่านมาสู่เรื่องความรักชนิดที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เลย ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะมีใครเชื่อเสียแล้วในโลกปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำความแปลกใจให้ท่านบ้างเล็กน้อยในหัวข้อนี้ ที่ถูกพูดโดยบรรพชิต แต่ถ้าท่านทั้งหลายทราบว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่แล้ว บางทีท่านจะรู้ด้วยตัวเองว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิตนั้นแหละคือผู้ที่กำลังแสวงหาความรักที่แท้จริงด้วย
ขอให้อาตมาตั้งต้นชีวิตปัจจุบันของมนุษย์ ในสังคมที่กำลังสับสน เราจะพบความจริงในชีวิตของเราว่า เรากำลังว้าเหว่ และบรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้แล้ว ไม่มีสัตว์ชนิดไหนว้าเหว่เท่ามนุษย์ จริงอยู่ เราเห็นความรื่นเริงในหมู่มนุษย์ มนุษย์ร้องรำทำเพลง เต้นรำ หัวร่อ สนุกสนาน แต่ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี ในมนุษย์นี่แหละ มีความว้าเหว่อย่างลึกซึ้ง และมนุษย์กำลังรอคอย ซึ่งไม่ทราบว่าเรารออะไร แต่ทุกคนรู้สึกว่า รอคอยอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะมาเติมให้เต็ม เพราะมนุษย์ทุกคนรู้สึกกว่าตัวเองนั้นยังพร่อง กำลังเหี่ยวแห้งและกำลังรอคอย รออะไรสักสิ่งหนึ่ง ที่เราอาจจะตอบไม่ได้ก็ได้ว่าเรารออะไร
สำหรับบางคนอาจจะรอความร่ำรวย หรือรอเงินหรือรอเกียรติยศแต่บางคนไม่ต้องการความร่ารวยหรือเกียรติยศ แต่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนต้องการสรณะหรือที่พึ่ง ไม่ว่าเขาผู้คนจะเป็นชายที่แข็งแกร่ง หรือเป็นหญิงที่มีรูปโฉมสะสวยขนาดไหน ทุกคนยังรู้ดีกว่าตัวเองพร่องและรอคอย
ด้วยเหตุนั้น ความว้าเหว่อยู่ในท่ามกลางการรอคอยนั้นแหละจึงเกาะกินใจมนุษย์อยู่ แต่มนุษย์ฉลาดพอที่จะกลบเกลื่อนความว้าเหว่นี้ไว้ด้วยท่าทีอื่น แต่แม้กระนั้นก็ดี ในเรื่องของปัจเจกบุคคลแล้วทุกคนจะต้องได้ยินเสียงกระซิบของตัวเอง เราทำลังคอย รอคอยอะไรก็ไม่รู้ได้ ที่จะมาเติมให้เต็ม และถ้าท่านเฉลียวใจให้ดีสักหน่อยจะพบว่า สิ่งที่ท่านรอคอยนี้แหละคือความรัก เรากำลังต้องการความรักชนิดหนึ่งชนิดใด เติมชีวิตที่พร่องนี้ให้เต็ม และการรอคอยที่จะเติมให้เต็มนั่นแหละ คือ การแสวงหาความรักหรือที่พึ่ง
แม้ว่าท่านจะเข้าใจที่พึ่งนั้นในระดับไหนก็ตาม แต่ในจุดสูงสุดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความรัก จะกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ใหญ่ชนิดที่อาจจะคาดไม่ถึง การรอคอยของมนุษย์เพื่อจะถึงวันเต็มเปี่ยมนั้น ได้เพาะบุคลิกภาพขึ้นชนิดหนึ่ง นั้นคือความโศกซึมในขณะที่รอ หรือไม่ก็ให้เต็มไปด้วยความหวัง และความหวังซึ่งจะมาถึงพร้อมกับรสหวานของชีวิต เรารู้สึกว่าเราต้องการใครสักคนหนึ่งมาช่วยปลอบประโลมในขณะที่เราเศร้าโศก หรือมาช่วยร่วมรื่นเริงเมื่อเราประสบโชค เราต้องการจะร่วมกันบันเทิงกับเพื่อนมนุษย์ หรือใครคนหนึ่ง ที่เข้าใจเรามากที่สุด แต่เรามักจะไม่ค่อยคิดว่าเมื่อคนนั้นเข้าใจเราแล้ว เราจะพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุดด้วย
ด้วยเหตุนี้การแสวงหาความรักจึงมีเงื่อนไขที่สำคัญมาก โดยเหตุที่ว่า ท่านกำลังแสวงหาคนอื่นมาสนับสนุนตัว และเพื่อตัวจะได้รักเขา ซึ่งเป็นเพียงผลตอบ หลังจากที่เขารักเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอให้ดูให้ดีสักหน่อยเถิดว่า การแสวงหาความรักหรือสรณะเช่นนั้น เป็นการลงทุน มันมีข้อแม้ว่า ถ้าเธอไม่รักฉันฉันก็ไม่รักเธอ ข้อนี้เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักที่แท้จริง เราต้องการใครสักคนหนึ่งมางอนง้อเรา เราอาจจะเรียกมันว่า นี้เป็นท่าทีหรือลีลาของความรัก ที่จริงนั้นไม่ใช่ ความรักจะต้องไม่หมายถึงการเรียกร้องหรือรุนแรง ความรักจะต้องไม่หมายถึงการพร่องอยู่ข้างใน แล้วเพื่อจะหาตัวบุคคลอื่นมาเติมให้เต็ม ความรักจะต้องหมายถึงความเต็มเปี่ยมและล้นออกไปสู่ผู้อื่น เพราะฉะนั้นเองความรักจะต้องหมายถึงการให้ ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องเลย
ถ้าว่าความรักเป็นการเรียกร้อง นั้นมิใช่ความรักแต่ท่านกำลังขาดความรักต่างหาก แล้วท่านจะรักใครที่ไหนได้ และจะรักใครเป็นได้เล่า ฉะนั้นคนที่ว้าเหว่ ถึงแม้เขาจะต้องการความรัก เขาจะเป็นนักรักไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องถามตนเองว่า พร้อมแล้วหรือที่จะรักใคร ท่านพร้อมแล้วหรือที่จะรักลูก หรือรักเพื่อน ข้อนี้ต้องถามกันให้แน่นอน แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่าทุกคนที่เกิดมาในลู่กรีฑาแห่งชีวิตนี้กำลังว้าเหว่ กระสับกระส่ายระหกระเหินด้วยคำนิยม หรือสถานะในสังคม หรือด้วยอะไร ๆ สารพัดที่แวดล้อมเราอยู่ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ความรักคืออะไร ไม่รู้ว่าความตายคืออะไร ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งแก่ แล้วก็ตายไป แต่มนุษย์ก็ได้วิ่งฝ่าหมอกของชีวิตเข้าไปแล้ว เราไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ทั้ง ๆ ที่เรามีลูกตั้งหลายคนแล้ว เราไม่รู้ว่าความตายคืออะไร แต่เราใกล้ความตายเข้าไปทุกที ๆ
แม้กระนั้นก็ดี ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร แล้วแสวงหาอะไร แต่พระธรรมเจ้าหรือพระธรรมชาติเจ้า ได้วางกับไว้สำหรับดักเด็กหนุ่มสาวของเรา เพื่อเขาจะได้ไม่พลาดจากสินค้าตัวอย่างของพระองค์ นั่นก็คือว่า พระธรรมเจ้าได้ให้เขาชิมรสแห่งพระธรรม ผ่านทางความรัก ข้อนี้ท่านอาจจะไม่เคยคิดว่า ความรักนั้นแหละคือพระธรรม แต่ว่าขอตกลงกันก่อนว่า ความรักในที่นี้จะต้องหมายถึงการหยุดกระวนกระวาย ระหกระเหิน และสิ้นสุดความวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ความสิ้นกังวลนั้นหาใช่อะไรอื่นไม่ นั้นคือพระนิพพาน ด้วยความสิ้นกังวลที่เด็ดขาด สิ้นเชิง นั้นแหละคือความรักที่เด็ดขาดสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นเอง พระธรรมเจ้าหรือธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ จึงวางกับดักไว้ แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นคนกักขฬะ เด็กสาวคนนั้นจะเห็นคนไม่ใส่ใจกับเรื่องราวของศาสนา หรือความรักใด ๆ ทั้งสิ้นในแง่ของศาสนา แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นจะต้องพบกับสินค้าตัวอย่างเข้า ในวันนี้เขาพบกับความรักแรก เขาจะรู้สึกถึงความลิงโลดใจของเขา ความวิตกกังวลในชีวิต ในเรื่องราวของอนาคต ดูเหมือนจะปลาสนาการสิ้นไป ความเศร้า ความโศกซึมจะไม่มี ความว้าเหว่จะไม่มีเหลือ และสิ่งนั้นเองคือสินค้าตัวอย่างของพระธรรมเจ้า แต่ว่าเงื่อนไขนี้มีอยู่โดยแน่นอน สิ่งที่เรียกว่าความรักชนิดนี้ มันเป็นอาการที่ทำให้เด็กหนุ่มสาวสะดุดความรู้สึกอันสูงสุดเข้า เขาได้ชิมรสของสิ่งหนึ่ง ก็คือความรู้สึกที่จะหยุดกระวนกระวาย เมื่อได้รับความรักตอบ แต่นั้นคือความหวัง หรือจุดยืนชั่วคราวในลังคมที่กำลังสับสนนี้เท่านั้น เมื่อเราพูดกันถึงคำว่าสับสน เหนื่อยหน่าย ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มสาวรู้สึกชุ่มชื่นก็คือความรัก และสิ่งที่เรียกว่าความรักนี่แหละเด็กหนุ่มสาวทั้งหมดกำลังแสวงหา และแม้แต่คนชราก็กำลังแสวงอยู่ แต่ต่างระดับ ต่างความหมาย ต่างความลึกซึ้งเท่านั้นเอง
ความรักนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความบันดาลใจทั้งมวล ไม่ว่าเป็นเหตุบันดาลใจให้เขาเป็นอาชญากร หรือเป็นผู้ที่กระทำประโยชน์ให้มนุษยชาติอย่างชนิดที่มนุษย์จะลืมท่านผู้นำไม่ลง ความรักเป็นเหตุบันดาลใจถึงขนาดที่ว่า ทำให้เด็กหนุ่มที่เคยกักขฬะ กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงทัชมาฮาล ที่กษัตริย์ชาห์ เจฮัน ได้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ของชายาของพระองค์ แต่เรากำลังพูดถึงชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มสาวบนรถเมล์นี่แหละ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอนุสรณ์หรืออนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของระดับโลก แต่เราพูดกันในแง่ประจำวันว่า เมื่อเด็กหนุ่มสาวเริ่มต้นรักกัน ความกักขฬะหยาบคายของเขาจะเริ่มหายไป เขาจะรู้สึกเห็นใจคนชราที่ต้องยืนบนรถเมล์ และเขาจะทนไม่ได้ เขาจะต้องลุกขึ้นให้คนชรา หรือคนที่อ่อนแอกว่านั่งแทนที่เขา ด้วยความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าคู่รักของเขาเอง
ด้วยเหตุนี้ ขอให้ดูให้ดีเถิดว่าความรักนี้เป็นเหตุที่จะกลับสันดานเด็กหนุ่มทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้น ความรักนั้นแหละคือธรรมะ และธรรมะนั่นแหละคือความรัก แต่ว่ามันยังมีความลึกซึ้งหรือตื้นเขินต่างกันอยู่ตามลำดับแห่งความเข้าใจของแต่ละคน
ที่ว่าความรักเป็นเหตุแห่งความบันดาลใจให้เกิดเรื่องราวอันใหญ่หลวงในโลกนี้ และเบื้องหลังของการสำนึกเปลี่ยนนิสัยสันดาน แต่เบื้องหลังของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็ย่อมมีทั้งความรักและความเกลียดชังซ่อนอยู่ข้างหลังเสมอไป เพราะว่าความรักนั้นมันเป็นเงื่อนไขต้น ความรักที่หญิงรักชาย หรือชายรักหญิงนั้นมันเป็นเพียงเงื่อนไขช่วงต้นเท่านั้นเอง ถ้าเขาไม่อาจที่จะรู้ธรรมะที่สูงกว่านั้นได้แล้ว ความรักชนิดนั้นจะหันกลับมาเป็นความเกลียดชังโดยแน่นอน
ขอให้เราพิจารณาดูเหตุการณ์ หลังจากกษัตริย์ชาห์ เจฮัน ได้สร้างอนุสรณ์รักอันยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว กษัตริย์โอรังเชฟจึงต้องจับพระราชบิดามากักขังไว้เพราะความรักของพระองค์นั้น มันเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความรัก เห็นแก่ความรู้สึกของตัวเอง โดยไมได้รักอีกสิ่งหนึ่ง คือมวลมนุษย์หรือประชาชาติของพระองค์ที่เป็นลูกๆ ของพระองค์ท่านซึ่งเป็นเหตุให้เศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรมลงเพราะการทุ่มเงิน ก็สร้างทัชมาฮาลเพียงเพื่อเป็นอนุสรณ์รัก
ความรักนั้นมีคุณค่า แต่มองอีกแง่หนึ่งมันมีโทษ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าทำสัตว์สังขารให้เป็นสิ่งรัก เพราะว่าความพลัดพรากจากสิ่งรักเป็นความต่ำทราม และขอได้โปรดกำหนดให้ดีว่า ความรักนั้นเป็นของถูกต้อง แต่ความพลัดพรากจากสิ่งรักนั้นเป็นความทรามของชีวิต คือมันจะเป็นความระหกระเหิน เจ็บปวด ขมขื่น มันเป็นโทษของความรัก ส่วนตัวความรักไม่มีโทษอะไรนัก เช่นเดียวกับความสุขก็ไม่มีโทษ แต่ว่าเมื่อมันพลัดพราก หรือว่าสุขหรือรักนั้นจางลง โทษมันจะสำแดงออกมา แล้วมันจะกลายเป็นความเกลียดชัง ชิงชัง
ฉะนั้น ผ่ามือที่เคยลูบประคองซึ่งกันและกัน มันจะกลับเป็นมือที่ตบหน้าเอาก็ได้ เมื่อความรักผันแปรไปเป็นความชัง ความรักจะกลายเป็นความเกลียดชังได้ละหรือ แต่เราได้พบความจริงไม่ใช่หรือว่า ในช่วงหนึ่งที่เขากำลังรักกัน แต่อีกระยะหนึ่งมันอาจจะกลับเป็นความเกลียดขึ้นมาจับใจ นี่อะไรกันเล่า ทั้งความรักและความชัง ได้ผูกพันกันอยู่จนดูสับสน
สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขของมันว่า มันตกอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์ คือความเป็นอนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา ถ้าว่าความรักได้ถูกเห็นในลักษณะเช่นนี้ ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเองว่า สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น ไม่ใช่เรื่องมักง่ายเสียแล้ว คนจะรักกันได้จ๒ต้องตัดสินใจ และต้องอาศัยความอาจหาญและกำลังใจไม่ใช่น้อยเลยในการที่จะรักใครสักคนหนึ่ง และคนทั่วไปคิดว่า เมื่อเราจะรักกันไม่เห็นจะต้องเกี่ยวกับความกล้าหาญและกำลังใจ เขาไม่รู้ว่าความรักนั้น ที่แท้จริงแล้วคือเรื่องเดียวกับสมาธิและวิปัสสนา ถ้าท่านไม่มีสมาธิท่านจะรักใครได้จริง อาตมภาพถามสักคำเถิดว่า ถ้าท่านจะรักใครสักคนหนึ่งจำเป็นที่จะต้องมีสมาธิพอที่จะรัก เพราะความรักคือสมาธิ ในสมาธินั้นแหละความรักจะปรากฏให้เห็น ด้วยเหตุนี้เอง เราต้องคำนึงถึงเงื่อนไขให้ดีสักหน่อยว่า ถ้ารักด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลา อ่อนแอ แล้วความรักนั้นคือการสะสมดอกเบี้ยแห่งความชิงชัง
ขอย้ำอีกทีว่า การที่เราฝากเงินของความรัก ฝากแบงค์ของความรักไว้มันจะผลิผลเป็นดอกเบี้ยทบต้น ๒ เท่าเป็นความเกลียดชัง เพราะมันมีเงื่อนไขว่า เธอรักเขาแล้ว มันเหนื่อย และมันก็หน่าย เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายรำลึกถึงหัวข้อบรรยายที่ได้พูดเมื่อคราวก่อน คือเรื่องการกำหนดและการถูกกำหนดขึ้นมาได้แล้วท่านจะพบเองว่า ความรักเป็นอาการปรุงแต่งของจิตใจ จริงอยู่ เมื่อเรารัก มันปรุงแต่งไปในแง่ของความซาบซ่าน อิ่มเอิบแต่สักครู่หนึ่งมันจางลง และเราจะต้องปรุงมันขึ้นเรื่อย แล้วเราจะต้องปรุงมันขึ้นอีก เพราะฉะนั้นเมื่อนานเข้า เราจะระอาต่อจิตใจของเราเองที่ถูกกระตุ้นให้รัก หวงแหน เป็นห่วง เราคิดว่าความรักคือความถูกใจ คราวนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ร้ายกาจที่สุด ความรักแท้ไม่ใช่ความถูกใจ แต่ความรักครั้งนั้นคือความถูกต้อง ความถูกใจนั่นแหละ มันทำให้ใจฟูขึ้น และเพราะความถูกใจมันจึงทำให้ติดใจได้ด้วยเมื่อไม่ได้ดังใจ แต่ความรักจริงต้องหมายถึงความถูกต้อง ความถูกต้องในที่นี้หมายความว่าถูกต้องตามธรรมชาติกำหนดมา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะต้องคำนึงว่า เมื่อเกิดความรัก เรากำลังถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เมื่อรู้สึกว่าถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เราจะรับสถานะแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรกัน เมื่อหญิงชายรักกัน เขาพร้อมแล้วหรือที่จะรับความเปลี่ยนแปลงจากสถานะที่เคยเป็นชีวิตเดียวมาเป็นชีวิตคู่ ซึ่งจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เป็นพร้อมแล้วหรือไม่ ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นความสะเพร่าของมนุษย์ ดูเหมือนกามเทพจอมสะเพร่าได้แผลงศรสะเพร่า ๆ เอาอย่างชนิดที่ไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น น่าจะตั้งต้นถามกัน เหมือนที่เช็คสเปียร์ ประพันธ์ไว้ว่า
๏ ความเอ๋ยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้นที่หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนใช้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ฯ
ข้อนี้เป็นเพียงคำประพันธ์ ซึ่งต้องการความหวานทางวรรณศิลป์ แต่ว่ามันมีความจริงอยู่ไม่น้อย ที่ถามว่า มันเกิดขึ้นได้ด้วยอะไรนะ เดี๋ยวตอนท้ายอาตมาจะมีคำตอบเชิงไม่ใช่อวดอุตริที่จะตอบกวีระดับโลกเช่นนั้นเข้าเพราะเขามีคำประพันธ์ของเขาว่า ผู้ใดตอบได้ขอขอบใจด้วย แต่เราไม่ต้องการคำขอบใจ เพราะไม่รู้ว่าตอบถูกหรือผิด แต่เป็นเพียงข้อเสนอแนะ ให้ท่านทั้งหลายรับฟังเท่านั้นว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร มันถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงความรักไว้ได้อย่างไร และดู ๆ ให้ดีเถิดว่า สิ่งที่เรียกว่าความรักนี้ ดู ๆ มันไม่ค่อยจะมีเหตุผล ถ้ามีเหตุมีผลแล้วลองตอบคำถามนดูว่า ทำไม่คนรูปสวยชายก็ได้ หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่ขึ้นมาได้ มันไม่มีเหตุผลใดทั้งสิ้น แต่มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็คือลักษณะแห่งความบันดาลใจ คือความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหายว้าเหว่ลงไปได้
สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น ไม่อาจจัดเป็นความรัก เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยา สามี แต่ที่จริงแล้วเขาอาจจะเพียงต้องการหญิงผู้หนึ่งมาบำเรอเขา เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการ หรือหญิงต้องการจะตักตวงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจากชาย และเรียกชายนั้นว่า สามีหรือศรีสามี แต่ไม่เห็นมิใครใช้คำนี้ เพราะฉะนั้นเอง ความรักที่ปราศจากเงื่อนไขคือไม่รู้เรื่องธรรมะแล้ว ไม่อาจจะเป็นความรักได้ แต่เป็นรูปหนึ่งของความพร้อมที่จะกลายเป็นความเกลียดชัง แล้วเราก็พบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีนักปราชญ์เกิดขึ้นมาก มีความคิดทางปรัชญาของชีวิตเกิดขึ้นมาก แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง น้อยลง น้อยลง ครั้นเหลียวไปดูย่าทวดของเรา ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องปรัชญา กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน ถ้าท่านทั้งหลายวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้ ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่ อาตมาจะบอกว่านั่นเป็นมายาสาไถย เพราะมันเป็นมาตรฐานของชีวิตคู่ที่เหลวไหล ว่างเปล่าจากสาระแก่นสารของชีวิต เหมือนที่เฮมิงเวย์ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้ สามีภรรยาทั้งสองคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา เมื่อถึงเวลาจวนจะกินอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง พอไปถึง เจอกันเข้า หญิงชายทั้ง ๒ คู่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกัน ต่างคู่ต่างก็มีมายาสาไถย สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยา ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริง บีบเค้นเสียงหัวเราะเพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในชีวิตคู่ เมื่อกินอาหารกันเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกันเสร็จแล้ว กลับไปนั่งที่ตู้ของตัว ๆ ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ นี่คือเรื่องราวของชีวิตคู่ที่เราพยายามที่จะลวงกันและกันว่า นี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเราที่จริงมันมีเพียงรูปแบบแล้วพยายามที่จะมีมายาสาไถย ดูเหมือนว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั้น ขออภัย ไม่ได้กระแนะกระแหนท่านผู้ใด ดูเหมือนว่าชีวิตทางบ้านหาได้ประสบความสำเร็จอะไรไม่ แต่ดูเหมือนเที่ยวสอนเพื่อนอยู่ทั้งเมืองว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างนี้ ควรจะมีสุขภาพจิตอย่างนั้น แต่พอกลับมาถึงบ้านของตัวเอง ก็ทะเลาะกับสามีหรือทะเลาะกับคนใช้ หรือถึงขนาดเกลียดชังอาฆาตพยาบาทอิจฉากันก็มี นี่สุขภาพจิตเสื่อมเอามากทีเดียว เพราะฉะนั้นขอให้เหลียวดูความสำคัญของชีวิตคู่ของบรรพบุรุษของเราให้ดี ที่เราหมิ่นว่าเป็นคนครึคระนั่นแหละ แก่เฒ่าเข้า ท่านจูงมือกันไป สามีเดินหน้า ภรรยาเดินหลังไปวัด และหลังจากชีวิตกามารมณ์มันจืดลง มันเหลือแต่เมตตาปรานีกันและกันเหมือนพี่ชายกับน้องสาว
คราวนี้ขอให้ดูว่า ชีวิตของปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น เป็นความสำเร็จจอมปลอม แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก ท่านก็ถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน ไม่รู้จักกันมาก่อน จับให้แต่งงานกันแล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ ฉะนั้นความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็นเมื่อแรกพบ หรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่ ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้ พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส ท่านตรัสว่า ความรักที่แท้จริงนั้นต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน น้ำลึกเท่าใด สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้นควบคู่กันไป จึงมีภาษิตว่า สามีเป็นที่ปรากฏแห่งภรรยา ควันเป็นที่ปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นที่ปรากฏแห่งแว่นแคว้น
สามีเป็นที่ปรากฏแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน ต้องมีศีลสามัญญตา ทิฎฐิสามัญญตา ต้องมีอะไร ๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกันไป และข้อนี้ท่านคงจะนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาตมาจะฝากไว้พูดตอนท้าย
ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้าตาให้ กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจเข้าไปอีก เพราะว่าความรักชนิดนั้นมันเป็นการแผ่ขยายอำนาจของอหังการ แต่ความรักที่แท้จริงจะต้องเป็นการลดอหังการ ซึ่งต้องพิสูจน์ความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลงด้วยการรับใช้ ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้ตัว เดี๋ยวนี้เราพบกามเทพที่แสนละเพร่า มันแผลงศรเด็กหนุ่มเด็กสาวข้าง ๆ ริมทาง และทำให้เพียงแต่ตาได้เห็นก็ชอบ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็รัก หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่องการมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกันเราก็ชอบ ถ้าเช่นนั้นกามเทพตัวนี้จะสะเพร่าขึ้น ๆ ทุกวัน ๆ และการแต่งงานหรือชีวิตคู่จะห่างจากโบสถ์ออกไปทุกที ๆ
แต่เดิมนั้นหญิงชายจะรักกัน เขาต้องไปหาพระ เพื่อเป็นสักขีพยาน ต้องมีการอธิษฐานใจอย่างรุนแรงที่สุด ต้องมีการหมั้น มีการลองน้ำใจกันดู ทดสอบกันดู และมีอะไรมากมายเพื่อเป็นหลักประกัน บางทีอาจจะหมั้นกันตั้งแต่เด็ก ให้ฝ่ายพ่อแม่ของแต่ละฝ่าย ฝึกฝนนักกีฬารักของตัว ที่จะลงวางในลู่กรีฑาแห่งชีวิต หาไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากการถูกฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง จะกลับกลายเป็นลงสนามเพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักที่ถูกเข้าใจผิด มนกลับกลายเป็นเรื่องเพศ กลับกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปโดยถ่ายเดียว และในที่สุดกามารมณ์นั้นหาใช่อะไรอื่นไม่ กามารมณ์คือการประทุษร้ายซึ่งกันและกันด้วยอวัยวะเพศของตัว กามนี้เป็นเรื่องประทุษร้ายซึ่งกันและกันโดยสมัครใจแล้วก็มีสินสอด หรือสินบน หรือค่าจ้างของธรรมชาติ เป็นเครื่องล่อเท่านั้นเอง
อาตมภาพจะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสินสอดอย่างไร ก็คือว่า กามารมณ์นี้ถ้าไม่มีรสของมันแล้ว ไม่มีใครทำมันเจ็บปวด มืดมัวเร่าร้อน เพราะฉะนั้น เมื่อธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ยังเผ่าพันธุ์ไว้ จึงจ้างหรือให้สินบนด้วยอัสสาทะ คือ รสอร่อยของมัน ถ้าไม่มีสินบน มนุษย์จะไม่ทำหน้าที่นั้นและมนุษย์เริ่มคดโกง หักหลังต่อนายจ้างของตัว ระบบที่เรียกว่าคุมกำเนิดนั้น เขาไม่ต้องการจะรับผิดชอบกับลูกของเขา แต่เขาต้องการตักตวงรสอร่อยจากเนื้อหนังซึ่งกันและกันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นระวังให้ดีเถิด ความรักชนิดนี้คือความหายนะ ความรักเกี่ยวข้องไม่ได้กับเนื้อหนัง ถ้าเกี่ยวข้องด้วยความรู้ที่ถูกต้องคือต้องมีวิปัสสนา ต้องรู้จักธรรมะ และรู้ว่าเนื้อหนังหรือเรื่องเพศนั้นมันเป็นของชั่วคราว และแม้มันเป็นของชั่วคราวนี้แหละ ถ้าทำผิดมันจะกลับกลายเป็นอุปสรรคของความรัก และจะทำให้ความรักกลายเป็นความเกลียด ไม่อาจจะจบลงด้วยความกรุณาได้
เพราะฉะนั้น ขอให้รำลึกถึงบรรพบุรุษของเราให้ดี ที่เคยประสบความสำเร็จในชีวิต มันมีอะไรสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นระบบวัฒนธรรมที่ดีงาม ก็คือว่าพระสงฆ์องค์เจ้าต่าง ๆ ช่วยแวดล้อมให้ชีวิตของคนเหล่านั้นออกจากเรื่องเพศอย่างถูกต้อง เพราะว่าไม่เช่นนั้นมันเป็นอันตราย เขามีระเบียบกฎเกณฑ์ อย่าหาว่าอาตมาพูดหยาบคายก็แล้วกัน เพราะว่าเดี่ยวนี้ชักไม่รู้กันขึ้นแล้วว่า วันพระ วันโกน เขาจะไม่ให้ยุ่งเรื่องเพศกันเลย วันพระวันโกนเรื่องเนื้อหนังต้องหยุดและเปิดโอกาสให้ในวันอื่น และในวันอื่น ๆ ยังมีวันสำคัญ ๆ ทางศาสนาอีกมาก เรื่องเพศนั้นไม่กี่ปีมันก็จบ เพราะว่ามันเป็นเพียงเงื่อนไขของฮอร์โมนเพศเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นจะต้องมีระบบชดใช้กามารมณ์ให้ดี เมื่อชดใช้ถูกต้อง ความผูกพันที่เคยเป็นเรื่องเนื้อหนังก็ต้องเปลี่ยนเป็นเมตตาไปในที่สุด ดังนั้น เมื่อกามเหือดแห้งไปจากดวงตาของผู้ชรา มันก็เหลือแต่ความเป็นพี่ชายกับน้องสาว แล้วก็จูงมือกันไปวัดไปวา ไม่มีเรื่องไม่มีราวชนิดที่จะต้องเอาปืนยิงขมับกัน หรือผูกคอตายประท้วงประชดกันและกัน เหมือนที่เราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ถึงเรื่องราวของหนุ่มสาวที่เรียนมามาก ๆ โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวของชีวิต
คราวนี้อาตมภาพของไปถึงสิ่งที่เรียกว่า อหังการของความรัก ดูเหมือนว่าเราจะลืมกำหนดมัน เช่น ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ท่านรักลูก หรือรักเพื่อน หรือรักภรรยา รักสามีของตัว ท่านมิใช่กำลังรักตัวเองโดยผ่านหรือขอยืมมือคนเหล่านั้นสนับสนุนดอกหรือ ถ้าพ่อแม่รักลูก แน่ใจหรือไม่ว่าที่รักลูกนั้นมิได้รักเพื่อเสริมอหังการของตัว สมมุติว่าลูกชายลูกสาวของคุณแม่คุณพ่อทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนหัวอ่อนคณิตศาสตร์ และคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้ด้านทางนั้น เพราะยึดว่านั้นจะเป็นฐานกำลังให้ได้มาซึ่งเงินหรือเกียรติของตระกูล เมื่อลูกสนองความอยากของพ่อแม่ไม่ได้ กลุ้มใจหรือไม่เล่า เราเคี่ยวเข็ญแกให้เรียนเพื่อช่วยแม่ให้มีหน้ามีตาในสังคมหรือไม่เล่าถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งนั้นมิใช่ความรัก มันเป็นความรักตัวเอง โดยยืมมือลูก เมื่อพลาดจากลูก มองหน้าลูกไม่ติด ก็ไปหวังที่หลาน และความรักเช่นนั้นมันเห็นความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจที่สุด ส่วนความรักที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าลูกจะเป็นคนโง่หรือฉลาด คุณแม่จะต้องมีความเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ที่จะกรุณา ไม่หวังให้ลูกมาเสริมอหังการของตัว
มารดาที่มีความรักที่แท้จริง มิได้หวังพึ่งลูก เพราะอำนาจของความกรุณาอยากเห็นลูกประสบสุขสันติเท่านั้น จึงเกื้อกูล ถ้าแม่คนไหนหวังจะให้ลูกของตัวเองช่วยพยุงชีวิตัว แม่คนนั้นค่อนข้างเป็นแม่ค้า คือมีการลงทุนชนิดหนึ่ง เพื่อยืมมือลูก ยืมมือสามี แต่ทั้งหมดนี้ใช่ว่าลูก ๆ จะไม่พึงอนุเคราะห์ตอบแทนบุญคุณ หรือสนองตอบต่อความหวังของบิดามารดา เพราะนั้นมันเป็นหน้าที่ของผู้มีความกตัญญูรู้คุณคนที่จะต้องกระทำ ไม่ว่าผู้กระทำบุญคุณไว้เป็นคนเช่นไร
ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี เดี๋ยวนี้ระบบการศึกษาระบบราชการที่มีเรื่องคอรัปชั่นนั้น เราอาจจะได้มองที่อื่น หรือเหมือนที่ชาวต่างประเทศเคยวิจารณ์ว่า ในเมืองไทยมีรัฐมนตรี ๒ ตำแหน่งเสมอ คือรัฐมนตรีและภรรยาของรัฐมนตรี และส่วนหลังนั้นเองเป็นเหตุกระตุ้นให้เกิดคอรัปชั่น คอรัปชั่นที่ไหนมี ขอให้นึกว่าต้องมีเรื่องกามอยู่ข้างหลังเสมอไป เมื่อเกิดใช้จ่ายไม่พอ ก็เป็นเหตุผลักดันให้แสวงหาเงินอย่างผิดๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เอง ฝ่ายภรรยาอาจจะหนุนให้สามีคดโกง เพื่อเสริมอหังการของภรรยา ที่ใคร่จะใส่แหวนเพชรเพื่อจะได้เฉิดฉายไปในงานมหกรรมอวดอหังการมมังการ คือประกวดตัวกู-ของกูในงานเต้นรำ ให้ได้ทำอะไรชนิดที่เด่นมีหน้ามีตาขึ้น ทั้ง ๆ ที่กลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยหอบอ่อนเพลียและเพิ่มพูนกิเลสเข้าทุกวัน
นี่เองคือเรื่องราวที่ท่านจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าความรักมันจะกลายเป็นรักกันเพื่อความวินาศ ความรักเช่นนี้มันก็คือการฝากความหายนะไว้ ให้4เก่กันและกัน และในที่สุดชีวิตรักจะจบลงด้วยความโศก เหมือนพุทธภาษิตว่า เปมโต ชาตํ โสโก เปมโต ชายตํ ภยํ เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ความรักทำให้เกิดความโศก ความรักนั้นแหละทำให้เกิดความกลัว (คือกลัวจะพลัดพรากจากความรัก) ผู้ที่หลุดพ้นจากความรัก ความโศกย่อมไม่มี เมื่อเป็นเช่นนั้น ความกลัวจะมีแต่ที่ไหนเล่า
อาตมภาพขอชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าความรักในลักษณะเช่นนี้ คือคำว่า เปม นี้มันหมายถึงอำนาจของความรักด้วยราคะ ด้วยความยึดถือหวงแหน คือกามราคะ มันมีเรื่องที่น่าสังเกตตรงที่ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดสันดานยังไม่ขาดจากกามราคะ คือความรักชนิดนั้น ผู้นั้นจะสะดุ้งหวาดเสียวเมื่ออยู่ที่เปลี่ยว และกลัวต่อการอยู่คนเดียว หวาดเสียวที่จะใช้ชีวิตเดี่ยว
ข้อนี้คงจะแปลกไม่น้อย ตรงว่าท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษาสมัยใหม่ ไม่มีความเชื่อเรื่องผี แต่พอไปที่เปลี่ยวก็เกิดขนพอง แล้วกลัวทั้ง ๆ ที่ไม่เชื่อเรื่องผี แต่ดูให้ดี หญิงชาวบ้านเมื่อสมัยเป็นสาว เมื่อสมัยยังมีกามราคะครอบงำ คือยังถูกเงื่อนไขของร่างกายกำหนดอยู่นั้น ทั้งเชื่อทั้งกลัวผี แต่พอแก่เฒ่า ความเชื่อที่ว่าผีมี ก็ยังมี แต่ไม่กลัว เดินไปที่เปลี่ยวๆ ได้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้าง นี่เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า เมื่อราคะมันจืดลง ความกลัวมันหายไปได้ ทั้ง ๆ ยังเชื่อว่าผีมี แต่มันก็กล้าเดินได้ในที่เปลี่ยว นี่แหละคือความหมายที่ว่า ถ้ารักแล้ว จะต้องกลัว รักด้วยอำนาจของราคะจะต้องกลัวอย่างน้อยกลัวจะพลัดพรากจากสิ่งที่มันไปเสวยรสเข้า ฉะนั้นเอง ขณะที่ท่านมีลูก และกำลังเชยชมลูกอยู่นั้น ให้ลูกเต้นอยู่บนอกฟ้อนรำอยู่นั้น ระวังให้ดี มันซ่อนดอกเบี้ยของความกลัวไว้ และอาจตำให้ช็อคเข้าจนได้ในสักวันหนึ่ง เมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากไป
ความรักที่แท้จริงจักต้องไม่หมายถึงการเข้าไปผูกพันชนิดนั้น แต่ความรักที่แท้จริง จะต้องหมายถึงการปลดปล่อยซึ่งกันและกันให้มีอิสรภาพ นี่ต้องระวังให้ดี เดี๋ยวจะแย้งว่าเมื่อปลดปล่อยจากกันและกัน แล้วจะไปรักกันทำไมให้เสียเวลา ปลดปล่อย หมายความว่า ความรักนั้นยังมีอยู่ ยังมีชีวิตคู่ซึ่งให้อิสรภาพซึ่งกันและกัน ให้ต่างฝ่ายต่างได้มีเวลาแห่งสันติสุข มีเวลาในทางศาสนกิจของตน และผูกพันรักกันด้วยสายสัมพันธ์ คือธรรมะอันเป็นเครื่องปลดเปลื้องความขุ่นเคืองทั้งปวง ให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง เหมือนกวีท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังทีเดียวว่า ขอให้หญิงชายคู่รักทั้งหลายนั้นเป็นเหมือนสายพิณที่อยู่คนละสาย แต่เมื่อบรรเลงเพลงแล้วมันบรรเลงเพลงเดียวกัน
ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อคิดที่น่าสนใจไม่น้อยเลย เราพบความจริงว่า แม้เพื่อนต่อเพื่อนก็เถอะ สนิทกันมาก สักเดี๋ยวหนึ่งจะแตกกันเหมือนสายพิณที่มาขอดเกี่ยวกันเข้า เสียงจึงไม่ไพเราะ เพราะมันสนิทกันด้วยอำนาจของผลประโยชน์ เรารักกันเพียงเพื่อจะได้เกลียดคนที่สามด้วยกัน เรามาสนิทสนมกันก็เพียงเพื่อจะร่วมกันนินทาเพื่อนคนที่สาม เพราะฉะนั้นได้เพื่อนคนหนึ่งก็เพิ่มศัตรูคนหนึ่ง และได้เพื่อนอีกคนหนึ่ง ก็เพิ่มศัตรูอีกคนหนึ่ง โดยไม่ทันได้รู้ตัว เรามักจะรักกันชนิดนี้และเราก็รักกันจนตายไปด้วยกัน เพราะว่าความรักชนิดนั้น มันเป็นการเสริมอหังการซึ่งกันและกัน ส่วนความรักที่แท้จริงต้องหมายถึงการปลดปล่อย เสียสละซึ่งกันและกัน เหมือนที่พระพุทธองค์เมตตากรุณากับพระอานนท์และเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกันโดยธรรม
ความรักแท้ที่จริง จะต้องไม่หมายถึงการตักตวงรสอร่อยทางเนื้อหนังจากกันและกัน จริงอยู่หนุ่มสาวจำเป็นต้องผ่านเงื่อนไขนั้น แต่จำเป็นต้องผ่านให้รวดเร็ว และด้วยความรู้ที่ถูกต้องในคุณและโทษของมันว่ามีแค่ไหนเท่าใด เพื่อว่าให้มันเหลือแต่ความรักแท้จริงในภายหลัง คือความกรุณาและเมตตาซึ่งกันและกัน และการให้อิสรภาพนั้นหมายถึงว่า ให้อิสรภาพเพื่อให้คู่รักแต่ละคู่ สามีภรรยาของตัวได้มีชู้คนหนึ่งเป็นอย่างน้อย อาตมภาพอาจทำให้ท่านช็อคถึงคำว่า ชู้ แต่ถ้าท่านรู้ว่า ชู้ ในที่นี้หมายถึงอะไรแล้ว คู่รักทุกคนจงรีบแสวงหาชู้เถิด เพราะชู้คนนั้นจะช่วยให้ท่านทั้งหลายรักกันอย่างแท้จริง และชู้รักเช่นนี้คือพระธรรม ให้หญิงชายทุกคนรีบแสวงหาชู้รักร่วมกัน แล้วเขาจะทะนุถนอมความรักไว้ด้วยกันได้
ขออาตมภาพเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้ชู้รักของคู่รักทั้งคู่นั้น ได้ทำการคุ้มครองปกปักรักษาชีวิตคู่ของหญิงชายไว้ได้ ก็หมายความว่าเราต้องรู้เงื่อนไขของพระธรรม เงื่อนไขของพระธรรม หรือสัจจะของพระธรรมนั้น จะต้องเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า หญิงชายจะต้องประกอบกามกิจกันอย่างไร ดูเหมือนว่าอาตมภาพออกจะเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องรู้ จนถึงขนาดพุทธบริษัทกลุ่มหนึ่งที่เรียกนิกายของเขาว่า ตันตริก ได้เสี่ยงอย่างเหลือขนาดมาแล้ว และก็ได้พังพินาศลงไป ด้วยเหตุที่เขามีความเห็นชัดเจนว่า เรื่องเซ็กส์แยกจากวัดไม่ได้ ถ้าขืนแยก เรื่องกามารมณ์จะตั้งป้อมค่ายให้อุจาด โสโครก ลามกยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนั้น การประกอบกามกิจ กิจกรรมทางเพศจะต้องกระทำด้วยความรู้ทางศาสนาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นท่านจะพลาดจากยอดชู้คนสุดท้าย คือพระธรรม ที่จะทำให้ถึงซึ่งสันติสุข เพราะฉะนั้นเอง การที่เราสนใจเรื่องเพศ ไม่ใช่เรื่องหลักสูตรของการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนที่เขากำลังสอน ซึ่งนั่นอาจเป็นเพียงการชี้โพรงให้กระรอก ซึ่งเสี่ยงอันตรายที่สุด แต่เรื่องเพศศึกษาในกรณีที่ว่านี้หมายความว่าจะกระทำกับมันอย่างไรจึงจะได้รับกามที่ประณีตที่สุด และเพื่อผ่านมันไปอย่างรวดเร็วที่สุด คำว่ากามประณีตนั้นมีความหมายพิเศษ ถ้ามันเป็นไปอย่างหยาบโลนมันจะไม่รู้จบ แล้วมันจะเวียนไปเวียนมา วกไปวกมา แม้จะมีภรรยาสามีที่สวยที่งามขนาดไหน มันก็วกไปหาคนอื่นได้ ไม่อาจสันโดษในภรรยาหรือสามีของตน เพราะฉะนั้น เราจะต้องเลื่อนมาพิจารณากามประณีตนั้นคืออย่างไร นี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
กามที่ประณีตนั้นจะต้องหมายถึงว่า ทำให้เกิดปีติ และเป็นเหตุให้สันโดษในภรรยาหรือสามีของตัว นั้นคือ จำกัดลงไปเพื่อจะมีชีวิตรักเพียงชีวิตเดียวในโลกนี้ เพื่อจะได้ไปแต่งงานกับชู้ของตัวในโลกแห่งพระธรรมหรือสวรรค์ บรรดามหากาพย์มหาภารตยุทธ์ก็ดี รามายณะก็ดี จะต้องแต่งเช่นนี้ ขอให้ท่านสนใจสักหน่อย พระรามกับสีดาแต่งงานกันทีหนึ่งบนพื้นโลก ครั้งสุดท้ายได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่งหน้าพระสยัมภูวญาณ แต่ไม่ใช่พระรามแต่งกับสิดา ทั้งพระรามและสีดาแต่งกับพระสยัมภูวญาณ และนั่นแหละ คือการได้เห็นชู้รักของหญิงชายทั้งหลาย เพราะนั่นคือญาณรู้เห็นความเป็นเองแห่งสรรพสิ่ง นั่นคือการเห็นองค์ พระธรรมเจ้า
ความรักเช่นนี้เป็นสิ่งไม่มีอะไรเหนือกว่า ถ้าไม่มีความรักแล้วจักอยู่ไม่รอด เขาจะต้องตาย ชีวิตนี้ปราศจากความรักไม่ได้ ความรักเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ใดไม่มีความรัก ไม่ควรคบผู้นั้น เขาเป็นคนใจทมิฬ กักขฬะโหดร้าย เห็นแก่ตัว มักได้ พร้อมเสมอที่จะรักตัวเอง หลงตัวเองและเบียดเบียนผู้อื่น แต่ว่าบางคนต้องแต่งงาน ๒ ครั้ง แต่บางคนแต่งครั้งเดียวกับพระธรรม เพราะฉะนั้นเอง ผู้ที่ไม่รักไม่แต่งกับใครเลย คบไม่ได้ แต่ชู้รักชนิดโง่เขลา ยิ่งคบไม่ได้ใหญ่ เพราะหากรักด้วยความเห็นแก่ตัวแล้วมันหนีไม่พ้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น และจำกัดอิสระของตนเองให้แคบเข้า เพราะฉะนั้นเอง ขอให้ท่านทั้งหลายคำนึงให้ดีว่า แม้รักทางเพศ ก็จะต้องรู้เงื่อนไขของมันว่า อะไรคือเป้าหมายของเพศ ขออาตมาพูดตรง ๆ ว่า อะไรคือเป้าหมายของเซกส์ บางคนอาจจะตอบในลักษณะที่คลุมเครือ คือตอบว่าไม่เห็นจะต้องมีเป้าหมายอะไร เราต้องการจะกำจัดบางสิ่งบางอย่างที่เก็บกดอยู่ในร่างกาย แต่ขอให้ดูให้ดีเถอะว่า สิ่งนั้นมันเป็นเพียงเงื่อนไขเล็กน้อยนิดเดียว แต่มนุษย์ไปสร้างอะไรมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นบางที่ไม่ได้ถูกกระตุ้นทางกาย แต่อุปาทานในกามมีอยู่ เพราะฉะนั้นชายชราอายุตั้ง ๙๐ ยังต้องชอบกามารมณ์ทั้งที่ร่างกายไม่อำนวยแล้ว นี่คือ กามุปาทาน โดยเงื่อนไขทางกายแล้วมันไม่มี แต่จิตใจมันยังปรารถนาเพราะเข้าใจผิดต่อเรื่องเพศ
อะไรเล่าคือเป็นหมายของเซกส์ อาตมาจะตอบว่า ปีติคือเป้าหมายของมัน ขอให้สังเกตไก่ตัวผู้ที่มันถูกเก็บกดด้วยอำนาจของฟ้าดิน ให้ปรารถนาการสืบพันธุ์มันขึ้นทับไก่ตัวเมีย แล้วลงมาตีปีกร่าเริง และผ่านวิกฤตการณ์นั้นไปตามความประสงค์ของธรรมชาติ จนกว่าจะหมุนมาครบวงจรของรอบเดือนอีกครั้งหนึ่งนั้นแหละ จึงจะทำกันอีก เพราะฉะนั้น เมื่อหลังจากคลายอารมณ์ของความเก็บกดเจ็บปวดกระวนกระวายในเนื้อในตัวแล้ว มันก็คลี่คลายลงและเกิดปีติสงบรำงับ เพราะฉะนั้นปีติเป็นเป้าหมายของเซกส์ ดังนั้นถ้าการประกอบกิจกรรมทางเพศไม่ให้ปีติ กิจกรรมนั้นเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และจะเพิ่มความเก็บกดจนถึงกับต้องฆ่ากันวันหนึ่ง ในที่สุดคู่รักจะกลายเป็นคู่แค้นขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว เพราะมันไม่ได้บรรลุเป้าหมายดังใจปรารถนา
ปีติเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า ปีตินั้นเกิดจากความพอใจ อิ่มใจ และปีติจะประณีตหรือหยาบนั้นขึ้นอยู่กับ ศีล คือความรู้สึกที่ตัวเองได้ทำถูกต่อสำนึกแห่งมโนธรรม คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายคงจะพบโดยตัวเองว่า คนบางคนไม่ได้มีคู่ แต่อาจมีชีวิตอยู่ได้อย่างชนิดไม่เป็นบ้าหรือเสียสติวิกลวิกาลไป เพราะบอกเลิกหรือไม่ใส่ใจกาม เพราะเขาได้เสวยผลของมันเสียแทนที่จะต้องผ่านในบทบาท คือเสวยปีติในงาน ผู้คงแก่เรียนบางคนไม่สนใจในเรื่องเพศ มัวเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่เพลิดเพลิน เพราะมันให้ปีติเมื่อได้ประสบผลสำเร็จแห่งการงานนั้น เมื่อปีติเกิด กายรำงับ เมื่อกายรำงับนั้นหมายถึงว่าความกระตุ้น กระวนกระวายของเนื้อหนังสิ้นสุดลง เพราะฉะนั้นกามารมณ์จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น หรือยิ่งเป็นนักบุญที่ผ่านเรื่องสมาธิ เรื่องฌานสมาบัติด้วยแล้ว จะเห็นกามารมณ์เป็นของรุ่มร่าม หรือเป็นของเล็กน้อย จนไม่อยากไปเสียเวลากับมันหรือไม่ใส่ใจเอาเลยทีเดียว
กามรังแต่จะทำความยุ่งยากให้ ดังเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเล่าว่า ท่านข้าหลวงอยากจะทดสอบพระอาจารย์ของตน ซึ่งเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายคงจะทราบว่า เมื่อชาวญี่ปุ่นอาบน้ำ เขาต้องเปลือยกายทั้งหญิงทั้งชาย ท่านข้าหลวงจึงวางอุบายนิมนต์อาจารย์มาที่บ้านเพื่อถวายภัตตาหาร ก่อนภัตตาหารก็ให้ไปสรงน้ำในห้องน้ำซึ่งได้ให้เด็กสาวเปลือยกายในห้องน้ำนั้นพร้อมกับสั่งเสียเสร็จว่าให้เด็กสาวทำอย่างไรๆ เพื่อจะให้รู้กันที่ว่าอาจารย์ของท่านนั้นยังมีความรู้สึกชนิดนั้นอยู่อีกหรือไม่ เด็กลาวก็พร้อมเสมอที่จะทำตามคำสั่งของข้าหลวง เมื่ออาจารย์องค์นั้นเข้าไปสรงน้ำ เปลือยกายทั้งคู่ เด็กสาวก็มาปรนนิบัติ หลวงพ่อก็ให้ปรนนิบัติ คืออาบน้ำ เช็ดถูขี้ไคลไปเรื่อย ๆ ครั้นอาบน้ำเสร็จ หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า ขอบใจนะแม่หนูที่ทำความรำคาญให้หลวงพ่อไม่น้อยเลย แล้วท่านก็ออกมา เมื่อท่านข้าหลวงสอบถามเด็กสาว เด็กสาวก็เล่าให้ฟังด้วยความฉุนเฉียวในความไม่ใยดีต่อเรื่องเช่นนั้น ท่านข้าหลวงถึงกับกราบแทบเท้าของหลวงพ่อองค์นั้นด้วยความคารวะอย่างสุดซึ้ง
เพราะว่าผู้ที่เป็นบรรพชิตไม่ใยดีในกามนั้น มันมุ่งเข้าไปสู่ผลหรือเป็นหมาย คือ ปีติ เมื่อเกิดปีติ กามราคะกระงับไป เลือดแห้งไป เพราะฉะนั้นเมื่อไปทำอะไรเข้าชนิดไม่เกิดปีติในกิจการงานใด ๆ แม้จะไม่เกี่ยวกับกิจกรรมระหว่างเพศ มันก็ต้องเพาะความเก็บกดไว้ ชนิดที่จะผลักดันเป็นอารมณ์ร้าย หญิงโสเภณีผู้น่าสงสาร มักจะเป็นเหตุเกิดเรื่องราวอาชญากรรม และหญิงโสเภณีเป็นหญิงที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ อย่าได้มองหญิงโสเภณีในแง่ของคนที่สำส่อนเลย หรือมองในแง่เป็นคนที่น่าเหยียดหยามเป็นอันขาด ขอจงเห็นใจเธอเหล่านั้น ผู้จำต้องแสวงหาเงินเพราะความจำเป็น ใครบ้างเล่าที่จะไปทนทำสิ่งที่ปราศจากปีติเช่นนั้น ถ้าได้เงินพอดำรงชีวิตได้
กามารมณ์มีเป้าหมายอยู่ที่ปีติ ขอให้กำหนดอย่างนี้ให้ดี ปีติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นเอง ผู้ ใดที่ได้รับกามารมณ์ที่ประณีตจะต้องมีเงื่อนไขอย่างน้อย ๒ ประการ คือ บรรยากาศแห่งชีวิตคู่นั้นต้องศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หมายถึงขลัง แบบแจกตะกรุดหรืออะไร เที่ยวเสาะหาให้ได้รับการเสกคาถาอาคม แต่มนต์คาถาของรักชนิดนี้หมายความถึงว่าให้เกิดบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ คารวะซึ่งกันและกัน ที่ไม่หยาบโลน ผู้แสวงหารสของกามารมณ์โดยถ่ายเดียวนั้น เขาจะต้องถูกตัดสินว่าเป็นบุคคลที่เป็นคนชั้นต่ำเป็นหินเพศ เพศต่ำ
พราหมณ์ในสมัยโบราณนั้น แม้จะมีภรรยาหลายคน แต่ก็มิใช่มีไว้เพียงเพื่อแสวงหาเพศรส พราหมณ์จะสั่งภรรยาเหล่านั้นว่า เมื่อใดเจ้ามีรอบเดือนครบกำหนดที่พึงมีบุตรได้จงมาบอกเรา เพราะว่าก่อนหน้านั้น พราหมณ์จะชักประคำเพ่งภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ไม่ใส่ใจเรื่องเพศรส เพราะฉะนั้นเขาประกอบกามกิจเพียงเพื่อจะให้มีทายาทสืบสกุลเท่านั้น เมื่อมีทายาทมันเกิดปีติที่มีลูก เมื่อมีลูกมันเกิดปีติหลายซ้อน
ด้วยเหตุฉะนั้นเอง เราพบว่าความปรารถนาของมนุษย์นี้ นอกเหนือจากเพศรสแล้ว ยังต้องการเด็กอ่อน ๆ หรือลูกที่เกิดมาด้วย เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงกำหนดเรื่องนี้ให้ดีว่า แผนคุมกำเนิดอะไรเหล่านี้ มันจะย้อนวิกฤตการณ์มาสู่มนุษย์โดยไม่ทันรู้ตัว จริงอยู่เราจำเป็นต้องคุมกำเนิดตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ แต่ว่าการคุมกำเนิดชนิดนั้นจะเพิ่มวิกฤตการณ์ทางจิตใจให้แก่มนุษย์ แต่หากเราย้อนไปคุมกำเนิดโดยหลักธรรม แล้วมันจะคุมกำเนิดให้เองโดยไม่ต้องเกรงวิกฤตที่จะพึงเกิดจากการคุมกำเนิดทางกาย เครื่องมือที่คุมกำหนัดนั้นคือเรื่องของธรรมะเท่านั้น และจะต้องไปคุมให้ลึกซึ้ง แล้วจิตจะไม่ผิดปกติ
นั้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า บรรยากาศที่จะทำให้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในชีวิตคู่ หมายความว่า ต้องไม่ให้เรื่องเพศเป็นเรื่องหยาบโลน หรือลามกเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้อย่าให้ถูกกามเทพมันแผลงศรสะเพร่าเข้าโดยไม่ได้ระมัดระวังตั้งสติเป็นอันขาด มันจะต้องสร้างบรรยากาศแห่งชีวิตคู่ด้วยความคารวะซึ่งกันและกันให้ศักดิ์สิทธิ์ (Holy) ขึ้นมาประหนึ่งว่าสามีนั้นคือพระอิศวร ภรรยาเหมือนอุมาเทวี บรรพบุรุษของเรามีสิ่งนี้อยู่ จึงวางจารีตประเพณีไว้อย่างลึกซึ้ง และเรียกมันว่า ประเวณี ด้วยเหตุนี้ หมายความว่าก่อนที่จะมีกามกิจนั้น จะต้องกระทำตามพิธีกรรมหรือประเพณีทางศาสนา กราบเท้าสามี ระลึกถึงเงื่อนไขข้อนี้ไม่ใช่ฝ่ายชายจะกดขี่ฝ่ายหญิงให้ยอมเป็นทาส ซึ่งเป็นเหตุให้สตรีเรียกร้องสิทธิ์ที่จะให้สามีกราบเท้าภรรยาขึ้นมาบ้าง แต่มันมีเงื่อนไขว่าเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ไม่ให้โน้มไปสู่ความหยาบโลน แล้วใช่ว่าสามีจะพึงทำอย่างไรกับภรรยาของตัวก็ได้ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นด้วย นั่นเป็นเพียงพวกพราหมณ์บางกลุ่มบางคน ซึ่งเป็นพวกคดโกงเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านวางลักษณะสามีภรรยาไว้หลายแบบ อย่างน้อย ๗ แบบ ซึ่งท่านทั้งหลายไปค้นคว้าหาความรู้เอาเองเถิด แต่แบบที่พระพุทธองค์ท่านชี้ไว้และน่าสนใจก็คือ ภรรยาสามีที่เป็นสหายซึ่งกันและกัน คือเป็นผู้ร่วมทาง ร่วมดำเนินการกันเพื่อให้ถึงซึ่งชู้รักของตัวทั้งคู่ นั่นก็คือความรักที่แท้จริง จะทำให้ทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยาบรรลุถึงซึ่งความรักอันใหญ่หลวงของพระธรรมซาติเจ้า ไม่ใช่ว่าเราจะได้รักอะไร แต่เราจะได้เห็นความรักของพระธรรมเจ้า เราประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อจะไปรักอะไรเข้า แต่จะได้เห็นความรักที่พระธรรมอภิบาลอยู่ในชีวิตของเรา นั่นคือยอดชู้ของทุกคน
คราวนี้มาถึงบรรยากาศอันที่ ๒ ก็คือ เมตตากรุณา อันแรกศักดิ์สิทธิ์ ต้องพยายามสร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด อันหลังพยายามที่จะต้องให้ไปในทางเมตตากันและกันเสมอ กิจกรรมทางเพศที่ต่างมุ่งหวังตักตวงรสอร่อยจากกันและกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจะจบลงด้วยการฆ่า เพราะสิ่งนั้นมันเป็นงูพิษ มันเหมือนดอกไม้ที่วางอยู่ในรังของงูเห่า เมื่อคนมุ่งเข้าไปตะครุบรสอร่อยของกาม ก็ลืมดูเจ้างูซึ่งกำลังแผ่พังพานอยู่แล้ว มันก็ฉกตอดเอาโดยไม่ทันรู้ตัว นี่คือโทษอันต่ำทรามของกาม
ก็แหละเมื่อกามมันจืดชืดเข้าอีก ชายหรือหญิงก็จะเริ่มส่ายหาเพื่อบำบัดความกระวนกระวาย นี่โทษใครไม่ได้ ชายที่มีชู้และหญิงที่มีการกระทำผิดประเวณีนั้น อย่าได้โทษเขาโดยถ่ายเดียว อย่าได้โทษว่าชายนั้นโลเล ใจชั่ว หรือหญิงนั้นมักมาก สำส่อนเลย ขอได้โปรดเห็นใจหญิงที่น่าสงสารเหล่านั้นเถิด เพราะความเก็บกดของร่างกายมันทรมาน ยิ่งปราศจากความรู้ในการระงับความกระวนกระวายด้วยแล้ว ไหนเลยจะทนทรมานไหว
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รู้จริงนั้นจะมีแต่เมตตาเท่านั้น ไม่ปรักปรำเหยียบย่ำซ้ำเติมเลย ถ้าท่านรักภรรยาของท่านจริง รักสามีจริง ทำไมต้องเอาปืนไปจ่อขมับ เมื่อรู้ว่าเขามีชู้ นี่ไม่ใช่ความรัก ความรักจะต้องหมายถึงความเห็นใจ สงสาร เมตตาและรู้เงื่อนปัญหาของกันและกัน ต่างว่าสามีหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งมีคุณธรรมสูง เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นไปแล้ว ท่านก็ยังอาจจะต้องเกื้อกูลภรรยาหรือสามีด้วยเพศรส ทั้งนี้ด้วยอำนาจของความกรุณาข้อนี้ไม่ใช่อาตมภาพว่าเอาเอง เรื่องราวในพระไตรปิฎกมีอยู่เกลื่อนไป เช่นนางวิสาขาเป็นต้น ซึ่งสามีเป็นปุถุชน แต่นางเองเป็นพระโสดาบัน ท่านเป็นอริยเจ้า ยังต้องทำหน้าที่ของภรรยาด้วยอำนาจของเมตตาต่อสามี
ชีวิตทุกชีวิตมันถูกกระทำ มันไม่ใช่เป็นตัวกระทำ มันถูกฟ้าดินกำหนดเงื่อนไขลงมาให้กระวนกระวาย กระสับกระส่าย และควรละหรือที่จะเรียกหญิงคนนั้นว่าสำส่อน ชายคนนั้นว่ามักมาก หรืออะไรก็ตาม แต่ดูให้ดี ๆ เถิดแล้วจะเกิดเมตตา ความเมตตาที่แท้จริงนั้น ต้องเกิดจากความเข้าอกเข้าใจเท่านั้น และความเข้าใจหมายความว่า ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ต่างว่าเราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวอุจาด ยั่วยวน น่าเกลียดที่สุด ความรู้สึกจะเกิดขึ้นอย่างน้อย ๒ ประการสำหรับปุถุชน จิตหนึ่งก็แล่นปราดไปทางเกิดกามราคะ เมื่อเห็นหญิงหรือชายก็ตามใจ ที่แต่งตัวเปลือยหรือว่าสั้น หรือทรงอะไรแปลก ๆ ที่เขาอวดเนื้อหนังกันนั้น หรือไม่ก็อาจจะเกิดไปทางเกลียด คือมันเกลียดขี้หน้าที่ผู้นั้นไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักละอายสิ่งที่ควรละอาย
สองประเด็นนี้เนื่องมาจากไม่เข้าใจ ถ้าสมมุติว่าเราเกิดไปดูเบื้องหลังที่มาแห่งการถูกบังคับให้กระทำตามแฟชั่นนิยมนั้น หญิงคนนั้นน่าสงสาร มันทนไม่ไหว ทั้ง ๆ ตัวเองอาจจะรูปร่างน่าเกลียด แข้งขากระดำกระด่างแต่ก็ทนไม่ได้ ถูกบีบให้แต่งตัวชนิดที่ต้องอวดสิ่งนั้นขึ้นมา เมื่อระลึกถึงสิ่งนี้มันจะเกิดเวทนาสงสาร และความที่จะเกิดโกรธ หรือเกลียด หรือเกิดราคะ ก็ระงับลง เมื่อเข้าใจ มันจะเห็นใจ เมื่อเห็นใจ มันจะหายเคือง เมื่อหายเคืองแล้ว นั้นแหละกรุณาจึงจะเกิด เพราะฉะนั้น ท่านอย่าลวงตัวเองด้วยความกรุณาชนิดที่ยังเคืองอยู่ เป็นไปไม่ได้ความกรุณาเกิดหลังจากเข้าใจแล้วและอภัยให้แล้ว มันพร้อมที่จะกรุณา
ชีวิตรักของคนที่จำเป็นจะต้องมีคู่ จำเป็นจะต้องผ่านกิจกรรมทางเพศด้วย ๒ บรรยากาศนั้น ก็คือ ทำให้เกิดเรื่องราวของกิจกรรมระหว่างเพศเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์และเมตตา ข้อนี้ใช่ว่าจะเป็นเงื่อนไขเฉพาะคู่รักอย่างโลกย์ ๆ เท่านั้น แม้การประพฤติธรรมเพื่อคู่รักนิรันดร์ก็ต้องผ่าน ๒ สิ่งเหมือนกันเพื่อรักษาบรรยากาศของชีวิตให้ขลังศักดิ์สิทธิ์อยู่เรื่อยไป แล้วก็พยายามที่จะเมตตา ด้วยการพยายามทำความเข้าใจสิ่งทั้งปวง
เมื่อวันไหนท่านเข้าใจธรรมชาติอย่างถูกต้อง วันนั้นจะเมตตากรุณาต้นกุหลาบ ต้นไม้ สรรพสัตว์ แต่วันก่อนนั้น เมตตากุหลาบ เมตตาสัตว์ด้วยอำนาจราคะ ที่จะได้ดอกของมัน เช่น หมั่นรดน้ำพรวนดิน เพื่อจะได้ดมกลิ่นหอมของมัน แต่วันไหนที่ท่านเกิดเข้าใจธรรมชาติ วันนี้จะไม่มีอำนาจของราคะ จะรดน้ำต้นกุหลาบด้วยอำนาจของความเมตตาล้วน ๆ หรือให้อาหารแมวด้วยความเมตตา ไม่ได้ให้ด้วยอำนาจของราคะ ที่จะให้แมวมาเคล้าเคลียตัว หรือเราให้ลูกกินนม ให้ของเด็ก ก็เพียงเพื่อให้สายตาของผู้รับเหล่านั้น มองเราอย่างซื่อเหมือนบ่าวมองนาย และจะได้ทวงบุญคุณคืนในวันหลัง อย่างนั้นเป็นเมตตาด้วยอำนาจของราคะ เมตตาหวังประโยชน์ตอบแทน
เมตตาแท้นั้นจะต้องผ่านทางความงาม นั้นคือการเห็นความงามของชีวิต เมื่อเห็นความงามชีวิตจะเริ่มเข้าใจความรัก ความงามของชีวิตไม่ใช่ความงามของธรรมชาติชั้นผิวเปลือก เช่นว่าดอกกุหลาบสวย ๆ และน่าดูเมื่อนำมาปักอยู่ในแจกัน ความงามไม่ได้หมายถึงแสงแดดอ่อนที่กวีเพ้อฝันพรรณนาไว้ด้วยวรรณศิลป์ ความงามไม่ได้หมายถึงนกกำลังกางปีกถลาบิน หรือหมอกยามเช้า หรือน้ำค้างที่กำลังหยด สิ่งนั้นจะมีความงามได้ก็ต่อเมื่อใจบริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าใจนี้ไม่บริสุทธิ์ว้าวุ่นด้วยกิเลส สิ่งนั้นงามไม่ได้ ความงามจริงน่าจะต้องผ่านจากการเพ่งความไม่งามก่อน เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า สุภาธาตุเกิดจากอสุภาธาตุ ท่านคงจะได้ยินว่าการเพ่งซากศพ ฟังดูแล้วน่าเกลียดน่าขยะแขยงมาก แต่ผลของการเพ่งอสุภะนั้นมันจะเริ่มเห็นความงามของชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้ใดประสงค์จะประสบกับความงามที่แท้จริงของชีวิต ผู้นั้นต้องผ่านการเพ่งความงามก่อน ผู้ใดที่เพ่งหาความงามโดยลืมเงื่อนไขนี้ จะพบแต่ความน่าเกลียดน่าขยะแขยงของโลก ต่างว่าท่านเป็นสถาปนิก หรือศิลปินชอบงาม ชอบแต่งตัวดี ชอบความสะอาด ชอบกลิ่นหอม นั้นก็คือท่านรังเกียจสิ่งสกปรก ถ้าไปที่ไหนที่มีกลิ่นไม่ดี ก็อุดจมูก แล้วชีวิตจะเริ่มแคบเข้า แคบเข้า แคบเข้า เพราะได้ปิดวงล้อมตัวเองด้วยสุภาธาตุ คือธาตุงามอันเป็นมุสา แต่ผู้ที่พบหรือเพ่งในด้านอสุภะ คือความไม่งาม จิตเริ่มเป็นอิสระ มันเริ่มเห็นความงามของสิ่งสกปรกและสะอาด มันเริ่มเห็นความงามของชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุขมันเริ่มเห็นความงามชีวิตเท่านั้นที่มันทั้งเจ็บปวดและทั้งปลาบปลื้ม และความรู้สึกชนิดนี้จะเป็นต้นเงื่อนของความรักอย่างอิสระโล่งโถง
คราวนี้ขออาตมาเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า ที่ว่า รัก รักนั้นเป็นฉันใดที่ว่ารักแท้จริงๆ นั้นมันคืออย่างไรกันแน่ รักจริงน่าจะต้องหมายถึงการลดตัวกูลงอย่างฉับพลัน เมื่อท่านตัดสินใจว่าจะรักอะไร รักลูก รักเพื่อน หรือรักหญิง รักชาย ฉับพลันที่คิดเช่นนั้น จะต้องฝึกสมาธิหรือเพ่งพินิจ หรือต้องทำกรรมฐาน เพื่อให้เกิดวิปัสสนา คราวนี้คงจะเห็นแล้วว่า เรื่องความรักแยกจากวิปัสสนาไม่ได้เสียแล้ว ก็เพราะว่าคนอ่อนแอนั้นรักใครไม่ได้ คนที่จิตโลเลนั้น ใครจะรักลง และจะรักใครลง อย่างมากมันก็เที่ยวสะเพร่า ขึ้นรถเมล์ทีก็รักอีกคนหนึ่ง ลงรถเมล์ที ก็รักอีกคนหนึ่ง นี่คือความว้าวุ่นของจิต และคนชนิดนั้นก็คือคนที่จิตขาดสมาธิ แล้วจะรักใครไม่ได้ แม้แต่จะรักลูกของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะหงุดหงิดขึ้นทุกวัน ลูกจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในชีวิตจะเกลียดชังเพื่อนมนุษย์ขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นความรักจริงนั้นต้องตั้งต้นด้วยสมาธิ ทีนี้คงจะเห็นความสำคัญว่าสมาธิสำคัญไม่ใช่น้อยเสียแล้ว ก็คือว่าจะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เราพบกับรักที่แท้หรือไม่
ดังนั้นอาตมภาพจะถามท่านว่า ท่านพร้อมแล้วหรือที่จะรักใคร ความรักต้องการสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือความกล้าหาญ ถ้าขี้ขลาดอย่ารักใครเลยจะดีกว่า ถ้าจะรัก จงตัดสินใจแล้วรักให้สุดขั้วหัวใจ เพราะว่าคนที่กล้าหาญเท่านั้น เข้มแข็งเทานั้น จึงได้รับรสหวานของความรัก เหมือนในคัมภีร์ไบเบิลว่า น้ำผึ้งที่หวานที่สุดต้องซ่อนอยู่ในซากของสิงโต และท่านต้องเป็นแซมซันเท่านั้นจึงจะรักใครได้ หมายความว่าจิตใจต้องเข้มแข็งที่สุด แกร่งที่สุด ถ้าเป็นคนโลเล ไม่อาจที่จะรักใครและไม่อาจที่จะผูกพันให้ใครรักตัวเองได้จริง และจะพบแต่ความชอกช้ำเรื่อยไป เพราะฉะนั้น จำเป็นเหลือเกินที่ท่านต้องแสวงหาความรักก่อนที่จะมีคู่รัก ตรงนี้ระวังให้ดี มันจะเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ที่มันปิดดวงตาของหนุ่มสาวได้ จนกว่าพระธรรมจะมาเปิดดวงตานั้นให้ และเขาจะเริ่มเห็นความรัก เริ่มเข้าใจความรัก คือว่าท่านต้องแสวงหาความรัก ก่อนที่จะพบคู่รัก
อะไรเล่าคือความรัก ท่านมีความพร้อมที่จะรักหรือไม่เล่า จิตใจนี้ มันยังประทุษร้ายตนและท่านหรือไม่ มันยังหงุดหงิดหรือไม่ มันพอทนอะไรได้หรือไม่ เมื่อถูกเหยียดหยาม หรือถูกกระทบกระทั่งมันทนไหวไหม ถ้าทนได้ ต่อจากนั้นแสวงหาคู่รักได้ แต่ถ้าไปแสวงหาคู่รักก่อน จะไม่มีวันพบกับความรัก จะพบแต่เรื่องความเกลียดชัง และคนนั้นจะเกลียดหญิงหรือชาย และเป็นการสร้างปมต่างๆ แก่ชีวิตให้เกลียดมนุษย์ทั้งโลก อยากจะฆ่าคนเสียทั้งโลก อยากจะอยู่คนเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้น ชีวิตนี้น่าสงสารเพราะไปแสวงหาคู่รักก่อนที่จะพบกับความรัก เพราะฉะนั้นต้องแสวงหาความรักและค่อยหาคู่รัก เมื่อพบความรักแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรอีก เพราะความรักนั้นมันยิ่งใหญ่กว่าคู่รักนัก เพราะฉะนั้น คนผู้พบความรักแล้วนั้นมีอิสระที่จะไม่หาคู่รักอีกเลยในชีวิตนี้ เพราะเขาได้พบกับชู้รักของเขาแล้วยิ่งใหญ่กว่าชู้ในโลกนี้หลายสิบหลายพันเท่านัก
ความนี้ท่านจำเป็นจะต้องทำจิตของท่านเต็มก่อน เต็มเปี่ยมก่อน แล้วมันจึงล้นไปสู่ผู้อื่น นั้นจึงจะเรียกว่าความรัก ความรักจะเป็นความเรียกร้องไม่ได้ เมื่อจิตใจเราพร่อง เราแสวงหาผู้อื่นมาช่วยเติมให้เต็ม เมื่อเติม มันเพิ่มอหังการ และภาชนะแห่งอหังการที่รองรับนี้มันขยายออก แล้วมันพร่องอีก แล้วมันเรียกร้อง เมื่อเขาเติมให้ มันขยายภาชนะที่รับออก แล้วมันพร่องอีก แล้วใครจะทนท่านได้ เพราะว่าฝ่ายเขาก็ต้องการความเติมให้เต็มเช่นกัน จริงอยู่ใหม่ ๆ อาจจะมี “น้ำต้มผักก็ว่าหวาน” เหมือนเขาว่าไว้ แต่นานเข้ามันจะกลายเป็นรสขม และมันจะเพิ่มความชิงชังขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นต้องทำให้เราเกิดความรักที่เต็มเปี่ยม และมันล้นไปที่คนอื่น ไม่ใช่เที่ยวเรียกร้องแสวงหา ซึ่งจะทำให้พร่องเรื่อยไป การแสวงหาความรักจะทำให้ตัวเองยิ่งพร่อง แต่การ(ทำให้เกิด) ความรักจะทำให้เต็มเปี่ยมจนล้นไปถึงผู้อื่น
การที่ล้นไปถึงผู้อื่นนั้น เหมือนดังที่อาตมภาพได้กล่าวแล้วว่า มันต้องหมายถึงการเข้าใจ เห็นใจ เพราะฉะนั้นคำพูดที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์จึงไม่จริง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนี้ นอกจากว่าเอาเองหรือนักประพันธ์รุ่นหลังพูดเอาเองเท่านั้น แต่ที่สุดมีความรัก ที่นั่นมีสันติ และที่สุดมีทุกข์ ที่นั้นจะมีความรักที่แท้จริง คือความเมตตาสงสาร เพราะมันเกิดมีหัวอกอันเดียวกัน เป็นทุกข์ร่วมกัน เพราะฉะนั้นนักประพันธ์รุ่นหลังพยายามที่จะบิดเบือน หรือเขียนให้เกินความจริงและเข้าใจว่า นี่เป็นพุทธภาษิตที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ นั้นต้องหมายถึงรักด้วยอำนาจของราคะ หรือรักหรือเมตตาด้วยอวิชชาจึงมีทุกข์ แต่ที่สุดมีทุกข์ที่นั้นจะมิความรัก คือเมตตาสงสารเกิดขึ้นและที่ใดมีความรักที่นั้นจะมีเมตตา และสันติจะเกิดขึ้น
คราวนี้ขออาตมภาพเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า สวัสดิกะแห่งความรักหรือทางให้ถึงความมั่นคงปลอดภัยแห่งความรัก คำว่า สวัสดิกะอย่านึกถึงเครื่องหมายนาซีเป็นอันขาด เครื่องหมายนั้นมันอาจจะหมายถึงอำนาจเผด็จการ แม้กระนั้นก็อาจจะนึกได้ ก็คือว่า ผู้ที่จะรักได้จริง ต้องเผด็จการกับตัวเอง สวัสดิกะนั้น ฮิตเลอร์ยืมไปจากเครื่องหมายธรรมจักรรุ่นแรกของพุทธคือเครื่องหมายที่เป็นรูปโค้ง ไม่ใช่หักเหลี่ยม แต่มันโค้งเป็นตัว s กลับข้างไขว้กันอยู่ อย่างนั้นเรียกว่าสวัสดิกะ เป็นเครื่องหมายธรรมจักรรุ่นแรกที่สุดและเขามักจะเขียนไว้ที่หน้าอก ที่อุรังคประเทศของพระพุทธองค์ในพระพุทธรูปมหายาน หมายถึงลักษณะของมหาบุรุษที่เป็นยอดนักรัก เพราะฉะนั้นเองสวัสดิกะแห่งความรักนั้น จะต้องได้แก่คุณค่าเหล่านี้ ก็คือ สุทธิ เป็นอันแรก หัวเงื่อนแรกของสวัสดิกะ แล้วก็ ปัญญา เมตตา ขันติ
ผู้ที่รักได้จริงต้องมีความบริสุทธิ์ใจเข้าหากันและกัน ไม่ใช่ปิดบังซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้หญิงชายเมื่อรักกัน เขาปกปิดความชั่วของเขา เสนอแต่สินค้าดี ๆ เพื่อล่อหลอกให้รักกัน แล้วนานเข้า สินค้าเลวค่อย ๆ โผล่ออกมา แล้วดีค่อย ๆ หดไป แล้วมันกลายเป็นความเกลียด มันยิ่งสมน้ำหน้าเพราะว่าได้หลอกลวงกันและกัน เพราะความรักเช่นนั้นไม่ใช่ความรัก แต่ความรักจริงนั้นต้องบริสุทธิ์ ต้องสารภาพถึงความเลวของตัว แม้ว่าความรักระหว่างหญิงชายก็ดีหรือเพื่อนก็ดี เราต้องยอมรับเถิดว่า คนที่แสวงหาคู่รักนั้นคือคนอ่อนแอ เพราะถ้ามีความรัก เขาไม่จำเป็นต้องมีคู่รักเพราะเขามีความรักเสียแล้ว และความรักมีความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ แต่ผู้ต้องการคู่รักคือคนอ่อนแอ จงยอมรับอย่าอวดดีหรือตีปากไปเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องยอมรับว่า เมื่อเราแต่งงานนี่เพราะว่าเราเหงาขึ้นมา และเราอ่อนแอ ต้องการหาใครมาช่วยเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเสนอสินค้าดี ๆ ออกไป ปกปิดของเลวไว้ วันหนึ่งมันจะโผล่ออกมา เพราะฉะนั้นยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ รีบเสนอความเลวของตัวออกให้เร็วด่วน ฉันไม่ดีอย่างนี้ ๆ เธอจะซื้อสินค้านี้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้นความรักจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ คือมันสงสารและเข้าใจ นี่คือเงื่อนไขของผู้ที่จะรักคู่รัก
สวัสดิกะแห่งความรักต้องตั้งต้นด้วยสุทธิ ความบริสุทธิ์ใจ สุทธิเล็งไปถึงความจริงใจ เข้าหากัน เปิดเผย ฉันเป็นคนอ่อนแออย่างไร ขี้ขลาดอย่างไร ช่วยฉันด้วย แม้ความสัมพันธ์ระหว่างฆราวาสและบรรพชิต ส่วนใหญ่ฆราวาสทั่วไป ขออภัยต้องขอประณามคนในกรุงเทพ ฯ หน่อย แต่ไม่ใช่ทุกคน ไปหาบรรพชิตในฐานะที่จะข่ม หรือเบ่ง ไม่ไปในฐานะที่ปรับทุกข์ว่ากำลังมีอะไรที่เป็นปัญหาเจ็บแสบที่สุด จริงอยู่ท่าทางและสถานที่ในสังคมของเราอาจจะดูเข้มแข็ง แต่ที่จริงเราอาจจะมีอะไรอยู่ลึกๆ ถ้าไปในลักษณะที่จริงใจเช่นนั้น ผู้นั้นเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจซื่อเข้าไป และคนเช่นนั้นท่านผู้รู้เรียกว่าเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย ซึ่งจะต้องได้รับรสแห่งพระธรรมโดยแน่แท้ แต่เสมอไปแล้วตรงกันข้าม ไปเพื่อหาพรรคพวกคือให้พระสนับสนุนอหังการของตัว เมื่ออยู่ที่บ้านทะเลาะกับสามี ไปคุยกับพระดีกว่า พระยอให้ฟัง ตลกให้ฟัง ก็สบายใจกลับมา นี่เป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่สะอาด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสพระพุทธภาษิตที่น่าสนใจว่า ธมฺมํ สุจริตํ จเร ท่านทั้งหลายจงประพฤติธรรมให้บริสุทธิ์ด้วย ประพฤติแล้วยังบอกว่าให้บริสุทธิ์ด้วย ให้สุจริตด้วย เพราะว่า ประพฤติธรรมไม่บริสุทธิ์ไม่สุจริตก็มี
สวัสดิกะอันที่สองก็คือ ปัญญา ผู้ที่บริสุทธิ์ใจและเปิดเผยตัวเองได้นั้น ผู้ทำต้องมีปัญญา คนปัญญาทรามย่อมปกปิดกิเลสของตัวไว้และพอกพูนมันเสมอไป เพราะหวาดกลัวว่าเขาจะไม่รักเรา ความกลัวว่าเขาจะไม่รักเรานั้นคือคนไม่รู้ ก็คือคนที่พยายามปกป้องตัวเอง ผู้ที่ไม่กลัวว่าเขาไม่รัก เพราะเขาเห็นยังมีสิ่งหนึ่งรัก เขาศรัทธาในบุคคลที่ควรจะรักได้เท่านั้น มนุษย์นี่รักกันได้ด้วยธาตุ เพราะฉะนั้นถ้าจะถามแซงขึ้นมาตรงนี้ว่า เราจะแสวงหาคู่รักอย่างไร อาตมภาพจะบอกว่าอย่าแสวงหาเลยเพราะมันจะพลาดทันที เพราะอะไรเล่า เพราะตาของเรานี้มันไว้ใจตัวเองไม่ได้ มันชอบดู ชอบแสวงหาของสวย สักเดี๋ยวมันจะรักหญิงที่สวย และชายที่รูปงาม เพราะฉะนั้นถ้าแสวงหา มันต้องแสวงหาด้วยอำนาจของกามราคะ ด้วยกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้น มักจะปกปิดความชั่วของตัว ฝ่ายโน้นก็ปกปิด มันจึงลวงกัน แล้วถ้ารักกันด้วยอำนาจของการแสวงหาซึ่งกันและกันนี้แล้ว จะถูกลวงโดยไม่ทันรู้สึกตัว
เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายถามอาตมภาพว่า เราจะแสวงหาคู่รักอย่างไร ขอตอบว่า อย่าแสวงหา แต่องประพฤติตนให้เป็นผู้ถูกแสวงหาเถิด จะไม่มีวันพลาด นั้นก็คือว่า เมื่อตัวเองประพฤติสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ พึงแสวงหาความรักในธรรมให้แน่วแน่ที่สุด ซึ่งคนทั้งหลายอาจจะหาว่าเป็นคนครึ ขออภัยใช้คำของเด็กหนุ่มสาวสมัยนี้ ก็คือหาว่ามันเป็นคนเชย เมื่อเป็นเช่นนี้พระธรรมจะเป็นรั้วป้องกันไม่ให้อ้ายเข้อ้ายโขงมันรักได้ ประหนึ่งว่าท่านทั้งหลายประสงค์จะจับปลาตัวที่ท่านประสงค์ ไม่อยากให้ปลาตัวโต ๆ ที่เขี้ยวแหลมๆ ดุดันเข้ามา จงขึงตาข่ายที่ตาถี่ยิบ และพอให้ปลาตัวที่ประสงค์เข้ามาได้ และตัวที่เราไม่ประสงค์จะให้เข้า มันก็เข้ามาไม่ได้
เพราะว่าคนนี้มันคบกันด้วยธาตุ พระพุทธองค์ท่านตรัสเช่นนั้น ผู้ที่ทรงสุตะจะตามหลังพระอานนท์ ผู้รักปัญญาจะตามหลังพระสารีบุตร ผู้รักสมาธิจะตามหลังพระอนุรุทธ ผู้ทรงวินัยจะตามหลังพระอุบาลี ส่วนภิกษุลามกจะตามมาหลังพระเทวทัต ก็หมายความว่า สัตว์ทั้งหลายมันคบกันด้วยธาตุ เพราะฉะนั้นบรรพบุรุษของเรา เมื่อจะแต่งงานลูกสาว ลูกบ่าวของเขา เขาจะต้องสมพงศ์ธาตุก่อน แต่ว่าเรื่องโหราศาสตร์นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องสมพงศ์ธาตุนี้ถูกต้อง เช่นเขามีว่า คนนี้เป็นธาตุไม้จอมเขา ผู้หญิงคนนี้เป็นหินธาตุ ธาตุต่ำ หยาบคายดุจนางยักขิณี ชายคนนี้เป็นปณีต ธาตุประณีตดุจเทวดา ฉะนั้นอยู่ด้วยกันไม่ได้ เดี๋ยวทะเลาะกัน เขาต้องสมพงศ์ธาตุ คือรู้ว่าทำอย่างไรมันจึงจะเข้ากันได้ พอไปกันได้ ด้วยเหตุนั้นก่อนที่เขาจะแต่งงานลูกสาว เขาต้องส่งคนไปแอบฟังผู้หญิงตำน้ำพริก ถ้ามันตำด้วยจิตที่ไม่ค่อยว่างเท่าไรแล้ว มันก็ขึ้นกับอารมณ์ พริกกระเด็นเข้าตาบ้าง มันยิ่งโมโหใหญ่ แล้วเสียงตำมันจะไม่เป็นส่ำ หรือเขาจะต้องส่งคนไปดูผู้หญิงตากผ้านุ่ง เมื่อชายผ้า ๒ ชายทับสนิทเสมอกัน ก็ตัดสินได้ว่า หญิงคนนั้นประณีต ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว พออาบน้ำเสร็จ ซักโครม ๆ แล้วเหวี่ยงขึ้นราวไปเลย ถ้าอย่างนั้น หญิงนั้นหยาบ เมื่อสมพงศ์ธาตุจะต้องคำนึงถึงจริตนิสัยนี้ขึ้นมา อย่าทำเล่นกับบรรพบุรุษของเราเป็นอันขาด เขาเคยทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จมามากต่อมากแล้ว ในขณะที่ปรัชญาไม่อาจช่วยได้เท่าไรนัก
ด้วยเหตุนั้นการแสวงหาคู่รักที่ดีที่สุดจึงอย่าแสวงหา จงประพฤติตนให้เห็นผู้ถูกแสวงหา เพราะผู้ที่มีธาตุเหมือนกันเท่านั้นจะเล็ดลอดเข้ามาโดยสมัคร ถ้าท่านจะย้อนถามว่า ถ้าในโลกนี้มันเกิดมีแต่อ้ายเข้อ้ายโขงแล้ว เราไม่ตายหรือ อยู่คนเดียวเปลี่ยวจนตาย ข้อนี้อย่าได้กลัวเลย ถ้าพลาดจากคู่รักในโลกนี้ จะได้รับขึ้นสู่สวรรค์ คือแต่งงานกับพระธรรมเจ้า นี้ไม่ใช่คำพูดเล่น หรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ถ้าประพฤติธรรมเข้าไป มันจะได้เห็นความรัก ไม่ใช่ได้รักอะไร หรือเรียกว่า มันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ธรรมชาตินี้อภิบาลชีวิตอยู่ คือพระผู้เป็นเจ้าที่คุ้มครองสรรพสัตว์นี้อยู่ ส่วนชีวิตคู่มันเป็นเพียงวิกฤตการณ์ที่เราว้าเหว่ และอ่อนแอเท่านั้น โปรดอย่าปากแข็งเป็นอันขาด เดี๋ยวจะมีการประณามว่าพวกที่ไม่มีคู่เป็นพวกองุ่นเปรี้ยว แบบสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกินองุ่นที่อยู่สูงไม่ได้ ก็เลยด่าประณามว่าองุ่นเปรี้ยว แล้วทำทีเป็นมะนาวหวานอะไรทำนองนั้นขึ้นมาอีก
ทีนี้ขอมาถึงสวัสดิกะอันที่สาม ขันติ คู่รักทั้งหลายจำเป็นต้องทน ไม่ว่ารักหญิง รักชาย หรือรักพระธรรมเจ้า ต้องอดกลั้นอดทน ถึงขนาดน้ำตาไหล ขันติ และโสรัจจะเห็นธรรมที่งามที่สุด ไม่มีใครสนใจสิ่งนี้ และเพราะบางคนนั้นมีความอดทน แต่มันอดทนแบบกัดกรามอยู่ข้างใน มันฮึดฮัดๆ มันเฉยจริง แต่มันเฉยแบบได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวกรามอยู่ข้างใน แต่ความอดทนหรือขันติในที่นี้ต้องหมายถึงอดทนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างใน มันพร้อมที่จะให้อภัย ก็คือมันต้องมี เมตตา คืออันที่สี่ของสวัสดิกะแห่งความรัก
สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ คือธงชัย หรือผ้าประเจียดประจำคู่รักทั้งหลายในโลกนี้ อย่ามัวไปหาตะกรุด อย่ามัวไปหาอาจารย์ลงเสน่ห์ยาแฝด สะเดาะเคราะห์ อย่ามัวไปหาเมตตามหานิยมที่ไหนอะไรต่อมิอะไรที่เป็นเรื่องเหลวไหลเลย ชักธงแห่งสวัสดิกะแห่งความรักขึ้นในครอบครัว ในชีวิตคู่ ในมิตรไมตรีระหว่างเพื่อน ในระหว่างลูก ระหว่างสามี ในครอบครัวหรือในสังคมขึ้นเถิด นึกถึง สวัสดิกะที่ประกอบไปด้วยสุทธิ ปัญญาเมตตา ขันติ เมื่อเราต้องการความบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องมีปัญญา ปัญญาเท่านั้นจะทำให้บริสุทธิ์ ปัญญาเท่านั้นทำให้อดทนได้อย่างสงบเสงี่ยม และผู้สงบเสงี่ยมอภัยแล้วเท่านั้นจึงเมตตาได้จริง ผิดจากนี้แล้วเป็นเพียงเมตตาของท่าทาง ซึ่งเราจำเป็นจะต้องมีเหมือนกัน เพราะอยู่ดี ๆ จะให้เมตตาถึงที่สุดเลยทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเมตตาทั้งข้างนอก และรอวันผลิออกจากข้างในด้วย
เมตตาที่แท้จริงต้องอุปมาเหมือนอาการบานออกของดอกมะลิ ซึ่งเราจะจับฉีกมันไม่ได้ อย่างนั้นไม่เรียกว่าบาน จริงอยู่เราอาจทำให้ดอกบัวหรือคอกมะลิบานได้ ซึ่งอุปมาด้วยการพยายามที่จะเมตตา ทำได้ แต่เมตตาแท้จริงต้องเป็นอำนาจเบ่งบานของมันเอง มันเห็นไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแหละจึงเรียกมันว่าความรัก เพราะมันไม่ได้ถูกบังคับบีบคนให้รัก และมันจะไม่เกลียดผู้ที่ไม่รักตอบตัว เดี๋ยวนี้เราพบว่า ฉันรักเธอตราบที่เธอยังซื่อสัตย์ต่อฉัน วันไหนฉันจับได้ว่าเธอไม่รัก ฉันจะเชือดคอเธอ นี่ไม่ใช่ความรักมันเป็นอาการของคนที่คลั่งอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง หนึ่งตัวกู-ของกู เป็นการเสริมอัสสมิมานะของตัว แกล้งยืมมือหญิงที่น่าสงสารหรือชายผู้น่าสงสารนั้นเสริมตัวเอง แล้วก็ให้เกียรติว่า นี่สามีของดิฉัน นี่ศรีภริยาของผม มันไม่ใช่ความรัก เพราะฉะนั้น เราจึงต้องแสวงหาความรักให้พบเสียก่อนคือความพร้อมที่จะรักใคร ๆ ได้จริงแล้วจึงจะรักได้.
คราวนี้ขอให้อาตมภาพเลื่อนมาถึง สิ่งที่สำคัญขึ้นไปกว่านั้นอีกสักเล็กน้อย เวลาได้ล่วงเลยมามากพอแต่มันยังไม่จบกระแสความ เพราะเรื่องราวของความรักนี้มันต้องการเวลา และผู้ที่รักจริงนั้น ไม่คำนึงถึงกาละ เหมือนดังที่หญิงชายไปนั่งรอคู่รักของตัว ดึกดื่นเที่ยงคืนตาสว่าง แต่หากแต่งงานแล้วแม้สัก ๕ นาทีก็ชักรอไม่ค่อยจะได้ เพราะขณะที่อยู่ในความรัก กาละไม่ปรากฏ ไม่มีความหมาย แต่ในความเกลียด ๒ นาที ๑ นาที ทนไม่ไหว เสียงจะกระโชกกระชากขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายจะอดทนฟังต่อไป ก็ได้โปรดทำใจให้ดี ถึงเรื่องราวที่จะหวนมาถึงเรื่องสำคัญที่สุดของเรื่องราวของความรัก
ได้ตั้งต้นไว้แล้ว ความรักต้องผ่านทางความงาม และความงามนั้นต้องผ่านทางความเข้าใจธรรมชาติแวดล้อม และธรรมชาตินั้นก็ไม่ได้หมายเพียงปรากฏการณ์ที่ตาเห็น เช่น แสงแดดอ่อน น้ำค้าง มันต้องหมายถึงเห็นสัจจะในธรรมชาติ สัจจะของธรรมชาติ ก็คือ สัจจะแห่งความแปรเปลี่ยนอยู่นิรันดร์ คือเปลี่ยนอยู่เรื่อย นั้นคือกฎแห่ง อิทัปปัจจยตา เป็นสิ่งที่เราไม่อาจไปดัดแปลงหรือไปแทรกแซงมันได้ คือมันต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อาจเป็นอื่น เมื่อเห็นอยู่เช่นนั้น มันจึงจะเกิดอาการปล่อยวาง เมื่อปล่อยวาง จะเริ่มเห็นความงามของทั้งสิ่งสกปรกและสะอาด บางทีคำว่า งามของสกปรกสะอาดนี้ท่านอาจจะงง แต่ในวันแห่งการปล่อยวางนั้นชายทุกคน หญิงทุกคนงามทั้งนั้น มันมีอะไรที่เป็นทิพยลักษณะหรือ Divinity ในตัวของทุกๆ สิ่ง หญิงทุกคนงามตามธรรมชาติ ชายทุกคนงามตามธรรมชาติ ไม่ว่าที่เราเรียกกันว่าเขาขี้เหร่ขี้ริ้วขนาดไหน เพราะว่ามันงามมาจากตาข้างในที่ดูสิ่งนั้น ไม่ได้งามที่ตัวของมันเอง
ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกต วันไหนที่ท่านกลุ้มใจ อาหารที่อร่อยกลับไม่อร่อย ภาพที่น่าชื่นชมกลับไม่ชื่นชม เพราะข้างในมันอึดอัดอยู่ แต่พอวันไหนมันปลอดโปร่ง กินข้าวอร่อยดี อยู่ที่ไหนก็สบายดี หรือเดินที่สนามหลวง เขากำลังเดินขบวน ก็สบายดี ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนวุ่นวายอะไร เพราะฉะนั้น มันต้องเกิดที่จิตใจ แล้วมันจะเห็นความงาม และความงามนี้ต้องผ่านมาทางปัญญา และปัญญานี้ต้องรู้เห็นกฎเฉียบขาดของธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้นแหละ ผู้ที่เห็นความงามเช่นนี้จะพึงมีคำตอบคำถามของเชคสเปียร์ ที่ว่า ความรักมันเกิดได้ที่ไหน เมื่อไร มันเกิดที่มันสมอง หรือเกิดที่จิตกันแน่ ซึ่งก็คงจะมีว่า
๏ เมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์
เทพไทอุปถัมภ์นำชัก นงลักษณ์พิศเงาะเจาะจง
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน เอารูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง
ใครใครไม่อาจเห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา ฯ
นี่ไม่ใช่เพียงแค่ยกขึ้นมาฟังเพลิน ๆ เพราะหูเท่านั้น แต่วรรณกรรมเรื่องสุวรรณสังข์ชาดก พระภิกษุชาวเหนือแต่งไว้เป็นปฤศนาธรรม จะย่อให้ฟังว่าหกธิดาที่มันสมัครสโมสรโยนมาลัยไปคล้องหกเขยนั้นคืออายตนะภายในกับภายนอก ที่มันสมัครสโมสรกันและกัน คือตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ผิวสัมผัสกับสิ่งที่มาสัมผัส และจิตที่เข้ามากระทบกับธัมมารมณ์ อายตนะเหล่านี้ไม่อาจที่จะเห็นความงามของธรรมชาติหรือสัจจะของธรรมชาติได้ เป็นเพียงปรากฏการณ์ สัจจะอยู่นอกเหนืออายตนะเหล่านี้ มันต้องเป็นตาที่เจ็ด คือนางคันธาหรือรจนา เพราะฉะนั้น เมื่อรจนามันเห็นเจ้าเงาะ คือปรากฏการณ์ที่น่าเกลียดซึ่งถูกกำหนดเห็นเป็นความทุกข์สำหรับคนธรรมดา ไม่เห็นความดับทุกข์ ซึ่งเมื่อเห็นก็รู้สึกว่ามันทิ่มแทงเราถึงขนาดนี้ทำไมชีวิตในโลกนี้ มันเจ็บปวดขนาดนี้ แต่ ในท่ามกลางความทุกข์มันซ่อนความดับทุกข์ไว้ ท่ามกลางไฟมันซ่อนความเย็นไว้ในนั้น เพราะฉะนั้นเองผู้ที่มาถึงปากทางแห่งพระธรรม คือนางคันธา ธรรมจักษุ คือตาที่เจ็ดหรือเรียกว่าตทายตนะ ผู้ที่เห็นพระธรรมเจ้านั้นจะเริ่มเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในความไม่งาม เพราะฉะนั้นเองอาตมาจึงได้กล่าวแล้วว่า
๏ เมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์
เทพไทอุปถัมภ์นำชัก นงลักษณ์พิศเงาะเจาะจง
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน เอารูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง
ใครใครไม่อาจเห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา ฯ
ความทุกข์ที่เราเห็นนั้นเหมือนกับเจ้าเงาะ แล้วเราเกลียด เราไม่ชอบแต่ถ้าผู้ใดเพ่งให้ดีจะพบว่าความดับทุกข์ มันซ่อนอยู่ในความทุกข์ ประหนึ่งว่าเราเอามือแหย่ลงไปในน้ำร้อน เมื่อเราดึงออกมันเริ่มเย็น ๆ ๆ และความเย็นนี่มันเกิดจากความร้อน ผู้ใดมีทุกข์มาก จงอดทนเถิด เขาจะพบกับความเย็นมาก ผู้ใดเศร้าโศก เขากำลังจะเข้มแข็งในวันหนึ่ง เหมือนดังที่กวีเกอร์เต้ กล่าวว่า ผู้ใดไม่เคยตื่นอยู่เดียวดาย คร่ำครวญ เพราะความหงอยเหงาแล้ว ผู้นั้นจะไม่มีวันจะรู้จักพลังของพระผู้เป็นเจ้าได้เลย เพราะฉะนั้นจงอำนวยพรให้คนที่กำลังเศร้าโศก แต่สำหรับคนที่ตีปีกร่า เขาจะไม่มีวันรู้จักกับความรัก เพราะฉะนั้นหนุ่มสาวที่เศร้าโศกทั้งหลาย ขอให้มีความหวังเถอะว่า ยังมีสิ่งหนึ่งที่จะมาช่วยชีวิตท่านทั้งหลาย ก็คือจะได้เห็นความรัก จะได้เป็นรจนาจะได้วิวาห์กับพระสังข์ คือสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในความทุกข์นี้ คือความดับทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่อภิบาลชีวิตทุก ๆ ชีวิต อยู่ทุกค่ำคืน ขอให้สังเกตเมื่อเรานอนหลับให้ดี สิ่งนี้จะอภิบาล ถ้าสิ่งนี้ไม่มี มนุษย์ต้องตายหมด ถ้ามนุษย์นี้มันฟุ้งอยู่ทั้งวันทั้งคืน เดี๋ยวก็ตาย แต่สิ่งนี้มันอภิบาลอยู่ในทุก ๆ สิ่ง ด้วยเหตุนั้น จะพอเพียงหรือไม่ก็ไม่ทราบ จะลงกันได้หรือคำตอบของท่านกวี ที่รัชกาลที่ ๖ ทรงแปลไว้ว่า
๏ ตอบเอ๋ยตอบถ้อย เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่างสงสัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน
แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร เหมือนฆ่ารักเสียแรกเกิดย่อมอาสัญ
ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย ฯ
นั่นก็คือ ความรักแท้เกิดเมื่อเห็นธรรมะ ตาต่อตาประสบกับพระธรรม และสิ่งที่ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักนี้ไว้ก็คือความรักธรรมะ ธรรมนันทิ คือ ความเพลิดเพลินในธรรมะนั้นเอง
ในการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องกระทำจนเห็น อสังขตธรรม ที่ซ่อนอยู่ ในสงขตธรรม อสังขต นั้นหมายถึงความสงบเย็น หรือความดับทุกข์ คือ นิพพานเท่านั้น วรรณคดีไทยเหล่านี้ซ่อนปัญหาไปเกือบทุกเรื่องในปัญญาสชาดกและได้ถูกแปลงให้เป็นวรรณศิลป์อย่างเดียว ให้เหลือแต่รสของวรรณศิลป์ ไม่มีธรรมรส ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องจะเรียกว่าเสียหายก็ได้ แล้วแต่ท่านผู้คงแก่เรียนจะคิด แต่สำหรับอาตมภาพเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเสียหาย มากกว่าได้ประโยชน์ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า ธรรมรส มันไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า วรรณศิลป์ หรือสุนทรียรสเลย สิ่งหนึ่งมันปลอบประโลมเหมือนเอาแอลกอฮอล์มาทาฝีให้เย็นๆ อีกสิ่งหนึ่งมันเอาหนองออก ซึ่งจะทำให้หาย และวรรณกรรมชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นมหาวิทยาลัยของชาวบ้าน เป็นวิธีทางของชาวบ้านในอดีต จนถึงขนาดเขียนไว้ตามผนังโบสถ์เกือบทุกวัดทางภาคเหนือ เช่นวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน และทุกๆ แห่งทางเหนือ ถ้าเป็นนิทานประเภทไร้สาระแล้ว เขาคงไม่เขียนขึ้นเป็นผนังโบสถ์ อันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ดอก ต่อมาภายหลังได้ลดรูปลงมาเป็นนิทาน แล้วเข้าใจกันว่า หญิงสูงศักดิ์เช่นนางรจนานี่ เรียกหญิงสูงศักดิ์ ไปหลงรักชายรูปชั่วตัวดำ ไม่ฟังคำของพ่อแม่ อย่างนี้ไร้สาระ ที่จะเขียนไว้บนผนัง ซึ่งชาวบ้านจะต้องไปเรียนกันทุกวัน ๆ หากท้องเรื่องเช่นนี้จะเอามาเล่ากันทำไมให้เสียเวลา
ในที่สุดอาตมภาพก็มาถึงบทสรุปว่า คู่รักทั้งหลาย หรือผู้ที่ยังไม่มีคู่รักก็ตามใจ จงแสวงหาชู้รักของท่านเถิด ชู้รักของท่านจะทำให้ความรักในโลกนี้เกิดสันติ และเพื่อที่จะได้วิวาห์ครั้งสุดท้าย ชู้รักคือพระธรรมนี้จะถูกรังเกียจถ้าไม่รู้จัก เหมือนเรารังเกียจชู้ทางโลก ที่มาแย่งความรักของเราไป เพราะว่าพระธรรมนั้นจะมาแย่งชิงความรักของเรา ในภรรยาและสามีของเรา ดังที่พระคริสต์ตรัสว่า เรามาเพื่อให้พ่อแยกจากลูก เรามาเพื่อให้พี่แยกจากน้องเรามาเพื่อให้แม่กับลูกของตัวแตกคอกัน เพราะถ้าแม่สนใจธรรมะ ลูกจะไม่เห็นด้วย ถ้าลูกเข้าใจธรรมะ แม่จะไม่เห็นด้วย เพราะทั้งแม่ทั้งลูกประสงค์จะกอดคอกันจมอยู่ในทะเลวนแห่งวัฏสงสารนี้ ด้วยเหตุนี้ท่านจงแสวงหาชู้ของตัวให้ทันกาล ถ้าชู้ทางโลกนั้นน่าเกลียดมาก แต่ชู้ทางธรรมก็น่าเกลียดใช่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่รู้จักธรรมะ แต่ผู้ที่แสวงหาธรรมะ ผู้นั้นกำลังแสวงหาชู้ จงรีบหาชู้ ของท่านแล้วเป็นชู้ ร่วมกันอยู่ด้วยเหตุฉะนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงแสวงหาพระธรรมเจ้าผู้อภิบาล ซึ่งเป็นชู้รักของคู่รักทุกคู่ และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเพียงชู้ จะได้เห็นความรัก ความอภิบาลของพระธรรม เพราะฉะนั้นทุกค่ำคืนทุกขณะ จงเปิดหน้าต่าง รอชู้รักของท่านไว้ เปิดหน้าต่างของใจนี้ไว้รอให้ดี เมื่อมันโปร่งขึ้น ชู้รักของท่านจะปรากฏ คือจิตนั้นว่างลงจากอหังการ มมังการ เปิดประตูหน้าต่างนี้ให้ดี สิ่งนั้นจะปรากฏขึ้น แล้วจะเห็นพระองค์ จะเห็นพระธรรมเจ้าที่อภิบาลชีวิตอยู่ และเมื่อท่านจากไปเสีย จิตมันวุ่นขึ้นอีก จงกระหายถึงพระองค์ จงกระหายความรักชนิดนั้น ผู้ ใดกระหาย ผู้นั้นจะได้เติมให้เต็ม ผู้ใดชิงชังพระองค์ ผู้นำจะพร่องเรื่อยไป จนกระทั่งตายไปแต่ผู้ใดกระหายรักในชู้รักเช่นนั้น ก็จงเปิดใจให้โล่ง และในที่สุดพระองค์พระธรรมเจ้าจะเข้ามาบรรจุให้เต็มในใจของคู่รักทั้งหลายในโลกนี้
ขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลาย ประสบชู้รักของท่านจงทุก ๆ ขณะประสบสันติสุขทุกทิพาราตรีนับตั้งแต่บัดนี้ จนตราบเท่าเข้าสู่การวิวาห์อันถาวรเด็ดขาดสิ้นเชิง คือพระนิพพานเถิด ขอให้สวัสดี