Book Review : The Lean Startup | Doing than talking


ชอบไม่มากนัก แต่ให้แรงบันดาลใจที่ดี สำหรับการนำไปใช้จริง หาได้ในหลักสูตร NEC ของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม วิทยากรทุ่มเทเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการกันจริงๆ จังๆ

Hostel Review : Around the world B&B | pattanakarn 45 5 November


Hostel Review : The Yard-บ้านญาติ โฮสเทล | ที่พักสีเขียว ณ ซอยราชครู 6 พ.ย.


Hostel ฮิปๆ ที่ดัดแปลงตู้คอนเทนเนอร์มาเป็นที่พัก ถูกใจเหล่ายิปซีเลยทีเดียว ^^

Hostel Review : POD hostel | ที่พักหลักร้อยที่แต่งได้เก๋ไก๋

POD Hostel, Victory Monument BKK
ความเห็นส่วนตัว ให้ 2 เต็ม 5 อาจเป็นเพราะว่าเปิดมานานแล้ว มีหลายจุดที่เสียหาย ไม่เรียบร้อย และยังไม่ได้ซ่อมแซม มันทำให้รู้สึกว่า...อืม..ซ่อมบ้างไรบ้างสิ แต่ถ่ายรูปมาสวยนะ

Hostel Review : The Castello-kholarn กับวันที่พายุมาเยือน ^^

จริงๆ แล้ว The Castello ไม่ได้วางตำแหน่งตัวเองไว้ในแบบ Hostel นะคะ แต่ด้วยปกติที่กุ๊กจะเน้น Hostel เลยใช้รวมๆ ว่าเป็น Hostel Review ละกัน

วันนั้น เราฝ่าพายุไปที่นั่นกันสองคน

Hostel Review : Oberry Resort : รีสอร์ทหวานใจกลางกรุง @ Ekkamai 7

Oberry Resort @ Ekkamai 7

Hostel Review : BED Ck. Value for money accommodation



มอมแมม the dog next door : อย่าส่งเสียงดังรบกวนและอย่าไปอะไรกะแมวเค้าล่ะ ที่นั่นเค้ารักแมวนะ

จริงๆ โรงแรม BED ไม่ได้วางตำแหน่งไว้ที่คำว่า Hostel นะคะ ในสายปกติจะเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวในตำแหน่งเดียวกับ IBIS Style (ที่รีโนเวทมาจากโรงแรมอะไรนะสีเขียวๆ ตอนนี้เฟี้ยวมาก) และคุ้มภูคำ (หราา??) สาขานี้อยู่บริเวณชุมชนช่างเคี่ยนเลียบคลองชลประทานใกล้สนามกีฬา 700 ปี ใกล้ห้วยแก้ว ถูกและดีมากค่ะ ^^

Masked rider way : The art of transformation

[ต้นร่างเขียนไว้ตั้งแต่ 15 Dec 2014 ทิ้งไว้นานเชียว]

เอามาปัดฝุ่นเพราะเมื่อวาน (25 Oct) ได้อ่านหนังสือที่พูดถึง ฮอนโก ทาเคชิ (V-1)


โดยหนังสือเล่มนั้นบอกว่า ถ้าเราจะก้าวข้ามสิ่งที่เป็นอยู่
สิ่งที่เราควรจะทำ ไม่ใช่แค่การฝึกแทบจะเป็นบ้าอย่างทาเคชิ
ในขณะที่ยังเป็นร่างกายมนุษย์คือมีข้อจำกัดของร่างกายอยู่

แต่เป็นการแปลงร่าง คือต้องเปลี่ยนอย่างรุนแรงทั้งหมด
จึงจะหลุดออกจากวงโคจรเดิมๆ ได้
อืม...จะ disrupt ได้มันต้อง transform สินะ

ในการนี้ เราต้องทิ้งอะไรหลายอย่างไป
เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
อาจเรียกได้ว่า "สังเวย" ใช่แหละ "Sacrifice"

แต่คิดว่าถ้าเดินทุกวัน แล้วมันก็จะถึงในสักวัน ...



หลายคนอาจสงสัยว่า Masked Rider มีอะไรดี? ทำไมนฤมลคลั่งนัก :P

สำหรับเราแล้ว Masked Rider เป็นตัวแทนของ Hero รูปแบบหนึ่งที่ยืนหยัดในหลักการบางอย่าง
Masked Rider แต่ละคนจะมีปม มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป แต่อย่างที่บอก
ไม่ว่าตอนเป็นคนจะแย่หรือเก่งกล้าแค่ไหน ถ้ามีคนอื่นเดือดร้อน เค้าไม่เคยรีรอที่จะไปช่วย
ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ซึ่งหลายครั้งอาจดูไม่ฉลาด...(และก็มีหลายตัวที่ฉลาด แต่ตัวเอกมักจะ
...เอิ่มมมม...) ตอนหลังก็ต้องเปลี่ยนร่างแบบพิเศษ (ขายของได้อีกเยอะ 555+)

จำได้ว่า ตอนเด็กๆ จะชอบ Sentai มากกว่า เพราะ มีผู้หญิง...มันเป็นความฝันที่เหมือนจะสัมผัสได้
และเนื้อเรื่องยังไม่หนักเท่ากับ Masked Rider ที่ต้องมีการสืบสวน มีการชิงไหวชิงพริบ (สมัยโน้นนะ)
รู้สึกแต่ว่า คนที่จะเป็น Masked Rider ได้นี่ไม่ธรรมดา ซึ่งก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นกับซุเปอร์แมนหรืออุลตร้า

แค่มีพลัง...มันไม่พอหรอก 555+

เด็กอย่างเราชอบอะไรก็ตามที่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ โดราเอมอน, Masked Rider, Sentai

ถ้าเป็นฝั่งตะวันตกจะชอบ Iron man, Bat Man, Macgyver, Babapapa

วาดรูป วาดการ์ตูน ทุกวัน ทำกันเป็นเล่มๆ เยอะสุดก็เทพีอธีน่า รองลงไปก็ รันม่ากะอากาเนะ 555+
แต่ก็ไม่สุดๆ แบบทำเป็นเล่มเท่าน้องชาย

เพราะไปๆ มาๆ รู้สึกว่า ทำไม่ได้ดีนัก
แต่ที่ทำได้ดีที่สุดคือการให้คำปรึกษา 555+ (ในตอนนั้นนะ)

ตลกดี ...

ต่างกับน้องชาย ที่สุดท้ายก็เลือกเรียนการออกแบบจริงจัง
(แต่ในที่สุดก็...)

หรือเราทำหลายอย่างเกินไป ???

เอาน่า...แต่เราก็ได้ใช้ skill ด้านความคิดมาใช้ในงานอยู่เสมอๆ นี่นา
(ที่แย่ก็คือ เราไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง...เหมือนการตีกลองที่ตอนนี้เราง่อยไปแล้วจริงๆ)

เราชอบดูอะไรที่มันมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เราอยากรู้ว่าทำไมต้องออกแบบอย่างนั้น มีฟังก์ชั่นอะไร
การดูหนังนี่มันดีเนอะ อย่างน้อยมันก็จำลองให้เราเห็นประโยชน์ของอุปกรณ์สารพัดได้

Masked Rider กับ Sentai นี่มีจุดเด่นตรงการออกแบบลูกเล่นต่างๆ นี่ล่ะ
ชุดอะไร ใช้กับสถานการณ์ไหน 555+ ฐานทัพลับ ยานประกอบร่าง ฯลฯ
แอบชอบกระทู้นี้ เหล่า super sentai เวลาบังคับหุ่นยนต์ เขาแบ่งหน้าที่กันยังไงครับ

คือถ้าโดราเอมอนจะชอบตอนพิเศษ เพราะมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน

มันคือการ transform ให้เหมาะกับสถานการณ์ การเอาชนะข้อจำกัด
และการทำให้ปัญหาที่มีอยู่ หมดไป
การออกแบบ ก็คือการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง สำหรับเรา

คล้ายกับการแก้โจทย์มั้ย?

อาจารย์ฟิสิกส์ที่สอนเรา บอกว่า 80% ของการแก้โจทย์เป็นเรื่องของการจินตนาการ
การวาดออกมาเป็นภาพ และ สร้างสมการจากภาพนั้น อีก 20% เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์
เราชอบฟิสิกส์มากกว่าคณิตศาสตร์ เราใช้ฟิสิกส์ในการสอบตลอด 555+
(ส่วนตัวไม่ได้เก่งคณิตสักเท่าไรนัก แต่ก็ชอบนะ)

ดีใจนะที่ปีนี้เราได้ลงมือทำจริงจังสักที ไปเรียน UX ไปร่วมงาน Gov Jam
สารพัดจะ take course สิ้นเดือนนี้มีอีกยาว
เหมือนเพื่อนเราที่เพิ่งเริ่มเรียนไวโอลินเมื่อปีก่อน
แต่นางจริงจังสุดๆ เพราะบอกว่า
"อย่างน้อยก็ได้เจอ ได้ทำสิ่งที่ชอบก่อนตาย"
ประทับใจมากกก


เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่...


สู้เขานะ ทาเคชิ 
(Takeshi means Worrior)





อย่างน้อยปีหน้าอะไรๆ คงเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

Try to make it HAPPEN ^^


Book Review : Liebe! Nothing last forever therefore...built it to sell ^^

ปกต้นฉบับ

อ่านเล่มภาษาไทยนะ ราคาถูกกว่ามากกกกกก....เพื่อนถามว่าอ่านอะไรนักหนา อ่านหมดมั้ย? อ่านหมดนะ...ยิ่งเล่มไหนหนุกๆ เนี่ย ชอบเลยยยย เล่มที่เปิดแล้วหลับก็มีเยอะ LOL

เล่มนี้อ่านแล้วอินเนอร์มาเต็ม กล้าออกเรือก็ว่าต้องใช้พลังเยอะแล้ว การที่จะบังคับเรือให้ไปในทิศทางที่ดีที่สุด ตรงฝั่งที่สุด มันต้องอาศัยความกล้ามากกว่าอีก...มันต้องเอาให้สุด!

ปกภาษาไทย
เรื่องความถูกต้องของภาษามิรู้ได้นะคะ เพราะเราไม่ได้อ่านเปรียบเทียบกัน แต่เนื้อหาย่อยง่าย อ่านเพลินๆ แป๊บเดียวก็จบแล้ว

ขนาดเล่ม : A5
สำนักพิมพ์ : ฮักแต๊แต๊
วางจำหน่าย : 1 กรกฎาคม 2558
ราคา : 279 บาท (ในยุคที่ค่าเงินบาทขนาดนี้ อ่านที่เขาแปลมาเห้อออ ถูกกว่ากันครึ่งนึง เทียบกับราคา paper back นะคะ)

ฟีลลิ่งที่เกิดขึ้น :

  • อย่าตัดสินหนังสือจากปกอีกแล้ว เพราะปกทำให้เราคิดว่าราคาคงไม่แรง ... ไม่น่าจะเกิน 200 แต่พออ่านเนื้อหาก็รู้สึกว่า ปกไม่สวยนี่มันทำให้ตั้งราคาได้ยากเหมือนกันเนอะ ราคาขนาดนี้โคตรคุ้ม!
  • เป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ ของบรรดาเรือเล็กที่กำลังจะออก หรือเพิ่งจะออกจากฝั่ง หรือกระทั่งเรือที่คิดว่าลอยอยู่กลางทะเลนานเกินไปแล้ว ทำไมยังไม่ถึงฝั่งสักที ^^ 
  • เราได้อะไรมากมายจากหนังสือเล่มนี้ (เธอได้มากทุกเล่มนะ รู้สึก 555+) ที่สะเทือนใจเพราะหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วม...คนเขียน John Warrilow เป็น นักธุรกิจในแวดวงวิจัยการตลาดเหมือนกัน เจอสภาพอะไรต่อมิอะไรมาคล้ายๆ กับที่เราเจอ ต่างกันตรงที่เขาเป็นเจ้าของ เป็นคนสร้าง และทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จไปแล้ว ในขณะที่เราเป็นลูกจ้างของ SME แห่งหนึ่ง และเคยเป็น freelance researcher ซึ่งห่างชั้นกันยิ่งนัก ผู้น้อยขอคารวะ  
  • เราอ่านเรื่องแนวธุรกิจ-นิยายมา 3 เล่ม มีที่สนุกสองเล่ม คือเล่มนี้ กับเรื่องแปลของญี่ปุ่นอีกเล่มนึง เป็นแนวที่หายาก คนเขียนต้องมีประสบการณ์ จินตนาการ และความสามารถในการเรียบเรียงที่ดีเพียงพอที่จะเขียนให้สนุก 

จุดเด่น

  • หนังสือ How to ที่ยกตัวอย่างโดยร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ผ่านตัวละครหลัก 2 ตัว คือ อเล็กซ์ เจ้าของธุรกิจการโฆษณาและการตลาดเล็กๆ ที่ตั้งมาแปดปีแล้วย่ำต๊อกอยู่กับที่ และถูกลูกค้าโขกสับอยู่ร่ำไป กับเทด เซียนธุรกิจผู้ปราดเปรื่อง เป็นโชคดีของอเล็กซ์ที่รู้จักกับเทด ทำให้เขาเข้าไปขอคำแนะนำจากเทดในการขายธุรกิจ และต้องไปปรึกษาอาจารย์ทุกสัปดาห์ เขาจะทำให้สำเร็จหรือไม่? เดาได้อยู่แล้วแหละว่าต้องสำเร็จ แต่ระหว่างทางต่างหากที่น่าสนใจ    
  • ที่สำคัญ จบในเล่มจ้าาาา อีกเรื่องที่เราอ่าน รออ่านเล่ม 3 อยู่เนี่ย รู้สึกค้างคาชะมัดเลย 


เนื้อหาในเล่ม 
เนื่องจากเป็นหนังสือที่เริ่มเรื่องด้วยเรื่องราวสมมติ เนื้อหาอาจจะแยกได้เป็น 5 ภาค (เราแยกเอง) ดังนี้

  1. วงจรอุบาทว์ : เจ้าของ SME ที่ต้องรับมือกับสภาพงานสารพัดด้วยตัวเอง ลูกค้าร้ายกาจ ลูกน้องเอาใจยาก หนี้สินล้นพ้นตัว ชีวิตจะไปทางไหนดี? 
  2. หนี : อเล็กซ์ตัดสินใจจริงจังที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พ้นไปจากวงจรอุบาทว์นี้ จึงไปขอคำแนะนำจากเท็ด 
  3. มุ่งมั่น :  อเล็กซ์มุ่งมั่นที่จะทำตามที่เท็ดแนะนำ "อย่างเคร่งครัด" ระหว่างนี้ต้องเจอบททดสอบมากมาย คือบททดสอบแต่ละอย่าง แลกมาด้วยการสูญเสียรายได้เฉพาะหน้าเป็นจำนวนไม่น้อย แต่สุดท้าย ก็ "ถูกของเท็ด" เฮ้อออ ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนี้มั้ยน้า....
  4. ลงสนาม : อเล็กซ์ลงสนาม "การขายธุรกิจ" จริงจังในตอนท้ายเรื่อง และในที่สุด...
  5. ของจริง : ความรู้เพิ่มเติมว่าเงื่อนไขธุรกิจแบบไหนที่จะสร้าง cash cow และประสบการณ์ส่วนตัวของ John ในการทำบริษัทวิจัยการตลาด  

แนะนำค่ะ 

Book Review | กลยุทธ์การสร้างภาพพจน์ เอาแบรนด์ไปอยู่ในจิตใจลูกค้าอย่างไร?

หนังสือที่มีจุดขายว่า "เป็นคัมภีร์กลยุทธ์การโฆษณา ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด"
แถมตอกย้ำความเป็น "เจ้าเก่า" ด้วยคำว่า ฉบับครบรอบ 20 ปี พร้อมคำนิยมเพิ่มเติมจากผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้ซื้อมาประมาณปี 2546-47
ผู้เขียน : AL Ries and Jack Trout
ผู้แปล  : ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
--------------------------------------------------------------

ซื้อหนังสือเล่มนี้เพื่อที่จะ "ถอดรหัสโฆษณาสุรา" โดยเฉพาะ
ตอนแรกที่อ่านจึงไม่สนใจเนื้อหาอื่นมากไปกว่านั้น
จนเมื่อได้อ่านอีกครั้งเพื่อที่จะรีวิวหนังสือเล่มนี้ จึงพบว่า
ในแง่ภาษา...หนังสือเล่มนี้ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นหนังสือที่เขียนแล้วอ่านสนุก
แถมการมี คำนิยมเพิ่มเติมจากผู้เขียน หรือที่ควรจะเรียกว่า "บทรำพึงของผู้เขียน"
แทรกอยู่ตามหน้าต่างๆ กลับทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่หนังสือเล่มนี้ให้
ดูน้อยลงไปมาก

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นหนังสือพื้นฐานที่ควรอ่านกันสักครั้ง

เนื้อหาที่อ่านมาได้ แบ่งเป็น 3 ภาค

ภาค 1 สมอง
ภาค 2 ภาพพจน์
ภาค 3 กรณีตัวอย่าง

ภาค 1 สมอง
เนื้อหาในภาคนี้ประกอบด้วย ประเด็นทางจิตวิทยาเกี่ยวกับสมอง, การรับรู้และตีความเกี่ยวกับภาพพจน์, การจู่โจมทางความนึกคิด, การเข้าไปจับจองความนึกคิด, ขั้นบันไดเล็กๆ ในสมอง, ข้อจำกัดของการรับรู้

ภาค 2 ภาพพจน์
เนื้อหาในภาคนี้แยกย่อยได้อีก 3 ขั้น
1) ผู้นำ - ผู้ตาม - การเปลี่ยนภาพพจน์ในการแข่งขัน
2) การตั้งชื่อและอำนาจ - กับดักในการตั้งชื่อ - กับดักในการอาศัยชื่อเสียงเก่า 3) กับดักอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ ได้แก่ กับดักของการขยายสายการผลิต - และเมื่อไรควรจะใช้กลยุทธ์นี้


ภาค 3 กรณีตัวอย่าง
เนื้อหาในภาคนี้ประกอบด้วย กรณีตัวอย่างทางธุรกิจของแบรนด์ต่างๆ

<เดี๋ยวมาต่อนะคะ ทำหลายอย่างจัด>

Book Review : The Art of War | จากสงครามสู่สนามธุรกิจ

หนังสือเล่มนี้เราได้มานานมากกกก ตอนประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เดี๋ยวจะเอากลับมารีวิวอีกครั้ง แปลว่า ต้องอ่านใหม่อีกรอบนั่นแหละ ^^" มันเป็นอมตะนะ หนังสือเล่มนี้
ยังไม่มีเวลาเขียนนะคะ รอก่อน

ฺBook Review : T-Shirts and Suits | ธุรกิจสร้างสรรค์ เขาทำกันยังไง? อยากรู้? อ่านสิ ... รอไร?

ภาพจาก TCDC Resource Center

เล่มนี้ได้มาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2558 ในงาน SHIFT : Decode Design Disrupt ในราคา Discount พูดง่ายๆ คือหนังสือทรงคุณค่าที่ขายไม่ออกนั่นล่ะ LoL แต่เราชอบมากเลยยย เนื้อหาดีมากกกก เล่มนี้อาจเรียกได้ว่าแหกโค้ง...555+
ป,ล. มีเรื่องราวเกี่ยวกับงาน Creative Unfold 2015 (CU 2015) อีกเอนทรี่นะคะ


ขนาดเล่ม : A5
สำนักพิมพ์ : TCDC
วางจำหน่าย : 1 กุมภาพันธ์ 2553 ต้นฉบับจริงๆ ก็ 10 ปีผ่านมาแล้ว (พฤศจิกายน 2005)
ราคา : 175 บาท (คุ้มมากกกก ลดจากปก 250 บาท)

ฟีลลิ่งที่เกิดขึ้น :

  • หยิบครั้งแรก คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้า เอาวะ เปิดดูหน่อย เผื่อได้ไปเล่าให้จอยฟัง ที่ไหนได้ เป็นเรื่องธุรกิจสร้างสรรค์ทั้งหมด  
  • รูปเล่มกะทัดรัด บางๆ การพิมพ์ที่ละเอียด ประณีต และ Artwork ที่ทำให้ "แนวคิดทางธุรกิจ" ที่ดูจะเป็นสีเทาๆ ทึมๆ ไม่สดใส กลายเป็นเรื่อง "น่าสนุก มีสีสัน และเข้าใจง่าย" ไปเลย
    (ปล. ด้วยความที่ใช้กระดาษดีมากกกก หนังสือจึงหนักมากไปด้วย)
  • เนื้อหาตั้ง 2 ใน 3 เป็นเรื่องเครื่องมือการวิเคราะห์ธุรกิจ การเงิน ที่สอนกันใน MBA คือผู้เขียน David Parrish ทำให้เนื้อหาย่อยง่ายขึ้น และหยิบไปใช้ได้ทันที ตั้งแต่การเริ่มคิดแผนธุรกิจ เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ "ไม่มีเวลา" ทำความเข้าใจ concept ยากๆ พวกนั้น 
  • เป็นหนังสือที่เหมาะจะเป็น How to ของ SME หรือ Entrepreneur ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว หรือผู้ที่ก่อร่างสร้างตัวแล้ว จะใช้เป็น checklist อีกทีก็ได้ว่าเรายังขาดอะไรไปบ้างหรือไม่? 
  • อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วรู้สึกเหมือนมี checklist ไว้กับตัวอ่ะ อารมณ์ประมาณนั้น 

จุดเด่น

  • ความเปิ๊ดสะก๊าดของหนังสือ ที่มีธีมชัดเจนว่าด้วยการใช้ทั้ง "เสื้อยืด" ตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ และ "สูท" หลักการทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กัน     
  • มีการสรุปสาระไว้ในหน้าท้ายๆ ด้วย เสื้อยืด 10 ตัว ^^
  • เนื้อหาและข้อมูลอ้างอิงแน่นมาก ... นี่เป็นจุดเด่นของหนังสือทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกัน
    หลายต่อหลายเล่มให้ข้อมูลอ้างอิงละเอียดยิบ ทำ index เรียบร้อย นำไปใช้ต่อได้เลย 
  • มีตัวอย่างที่เรียกว่า "ไอเดียเชิงปฏิบัติการ" เหมือนกับ Mini MBA text book 

เนื้อหาในเล่ม 

  1. ความคิดสร้างสรรค์กับธุรกิจ : การแปลงความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นทุน หรือการใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นผงชูรสให้กับธุรกิจ
  2. รู้จักตัวเอง : Check list การตรวจสอบตนเองก่อนเริ่มธุรกิจ
  3. เตรียมความพร้อม : Check list การตรวจสอบสภาพแวดล้อม (ทางธุรกิจ) ด้วย ICEDRIPS 
  4. เวทมนตร์แห่งการตลาด : การตลาดคืออะไร ใช้อย่างไร 
  5. การรับมือกับการแข่งขัน : คู่แข่งและคุณ
  6. ปกป้องความคิดเชิงสร้างสรรค์ของคุณ : ด้วยลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร 
  7. นับเงินของคุณให้ดี : ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนก็ตาม เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก
  8. โครงสร้างการจัดการของบริษัทที่ดี : องค์กรรูปแบบต่างๆ มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร
  9. ความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ : คุณต้องเลือก ระหว่างธุรกิจที่คุณได้ทำซึ่งจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กับธุรกิจที่คุณต้องบริหารจัดการซึ่งสามารถเติบโตได้มากกว่าในอนาคต
  10. ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ : แนะเครื่องมือสำหรับการคัดกรองไอเดียของคุณว่าควรค่าแก่การต่อยอดหรือไม่ เพียงใด
  11. เส้นทางสู่ความสำเร็จ : ลงมือเขียนแผนธุรกิจ การวัดผลการดำเนินงาน และการประเมินความเสี่ยง

แนะนำซื้อเก็บค่ะ 


Book Review : Business Model Generation, New gen Entrepreneur handbook | ที่สุดในปี 2012


สุดยอดหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของเราที่ค้นเจอในห้องสมุดทริส เมื่อปี 2012 ตอนนั้นอินจัดมากกก มีหลายสำนักในเมืองไทยก็คลั่งเหมือนกัน และเอามาเป็นแนวทางในการจัดสัมมนามากมาย หนึ่งในนั้นมี ดร.สาวสวยคนเก่งด้วย (ไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน) เพราะเราจะบอกว่า ตอนแรกที่เอามาใช้ มันแป๊กมากกกก

หนังสือเล่มนี้เปิดโลกทัศน์เราหลายอย่าง ทั้งการวางโมเดลธุรกิจ การนำเสนอเนื้อหายากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย การออกแบบรูปเล่มอย่างประณีต ผ่านการคิดถึงผู้อ่านมาอย่างดี ก็ไม่งั้นจะเพ้อหราาา

มีต่อจ้าาา ...


Book Review : A hand book of Innovator - 101 Design Method | ที่สุดในปี 2015

Cr.http://www.101designmethods.com/
หนังสือเล่มนี้เจอที่ B2S เมื่อเดือนมิถุนายน คือแค่ปก พลิกไปพลิกมาก็โอละนะ ... ยิ่ง skimming ยิ่งประทับใจ คือยิ่งกว่าคำว่าดีงาม เราในฐานะที่เป็นนักวิจัย หนังสือเล่มนี้รวบรวมเทคนิคการวิจัยไว้ครบ ใช้เป็น handbook ได้เลย

ข้อดี :
การออกแบบรูปเล่มที่ อาจจะดูแน่น (ภาพเยอะ) แต่สื่อความหมายครบถ้วน
ตัวอย่างการนำเสนอเด็ดๆ มากมาย

เดี๋ยวมาต่อ LoL

Book Review : How to lie with statistics | วิธีปั่นหัวคนด้วยสถิติ! อัยย่ะ อ่านกันยัง?

เร็วๆ นี้นะครัชชชช
นักวิจัยก็ต้องคู่กับ stat ชิมิ แต่เมื่อครั้งนึง อาจารย์ที่สอน stat เราบอกว่า "There are three kinds of lies; lies, damned lies and statistics" เรางี้ถึงกับอึ้ง... หนังสือเล่มนี้ผ่านการดองไว้นานแล้ว...เดี๋ยวมาอ่านกัน ^^

ความชอบส่วนตัว : เราชอบ "ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต" มากกว่านะ

เหตุผล...ของคนเดินทาง


น้องชายถามว่า ทำไมชอบ .. เรียกว่า อยากจะดีกว่า 
อยากที่จะไปปีนเขา หรือขึ้นเขาสูงๆ ลำบากทำไม?

1) มันสวย มันเย็น 555+

2) มันมีความสุขมากกกก เวลาได้เห็นวิวข้างล่างจากบนนั้น ได้มองไปไกลๆ 
และมันก็ไม่เหมือนอยู่บนตึกระฟ้าและมองลงมานะ คนสร้างไม่ได้หรอก...

3) เวลาเราได้เห็นดาว เห็นพระอาทิตย์ เห็นพระจันทร์ ในระยะที่...ใกล้กว่าปกติ มันฟินนน 

4) ในที่อันตรายนิดหน่อย เราต้องใช้สมาธิเวลาเดิน ... มันลืมทุกอย่าง 
ถึงมันจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ขึ้นแล้วก็เดินป่า แล้วก็ลงเขา ก็ลืมไปได้หลายพัก

5) เรารู้สึกว่าทำอะไรสำเร็จ เมื่อไปถึงบนนั้น ... มันจะฟินมากที่ต้องขึ้นเขาที่ได้ใช้ความพยายาม 

เราชอบระหว่างทางของมัน...มีเรื่องเล่ามากมายในนั้น ^^ 



เราคงไม่เหมือนกับผู้หญิงในเรื่องนี้หรอกนะ  

มีนิทานมาแปะไว้ให้อ่าน...

ก่อนที่หลวงจีนจะพาหญิงสาวขึ้นไปบนเขาสูง
ท่านถามหญิงสาวว่า : ภูเขานี้เป็นอย่างไร? 
หญิงสาวพูดว่า : ผาชัน สูงใหญ่ สูงลิบลิ่ว สวยงาม
อาจารย์พูดว่า :  ขึ้นเขากับข้า 

ตลอดทางที่เดินขึ้นเขาไม่พูดสิ่งใดเลย เดินไปเดินไป หญิงสาวเหนื่อยแล้ว
ล้าแล้ว ทางเดินไม่ง่ายเลย หญิงสาวบ่นอย่างมากมาย เมื่อไปถึงยอดเขา

อาจารย์ถาม : ภูเขาที่เจ้าเห็นเมื่อกี้นี้ล่ะ
หญิงสาวพูด :  ภูเขาลูกนี้ไม่ดี มีแต่ทางเศษหิน ต้นไม้งอกก็ไม่ดี
แต่ว่า มองออกไปไกลลิบๆ ภูเขาลูกที่อยู่ตรงหน้าสวยกว่าเสียอีก

อาจารย์แย้มยิ้ม พูดว่า : เมื่อเธอรู้จักกับคนๆ หนึ่ง ก็คือการมองดูภูเขาจากที่ไกลๆ 
ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา 
เมื่อรู้จักแล้ว ก็คือการเดินขึ้นเขา ที่เธอมองเห็นล้วนแต่คือรายละเอียดธรรมดาทั่วไป
ไปถึงยอดเขา ตาของเธอก็เห็นแต่เพียงภูเขาอีกลูกหนึ่งเท่านั้น 
ภูเขาไม่ได้เปลี่ยน ใจของเธอนั่นเองที่เปลี่ยน

ตาของเธอเปลี่ยนไป การมองก็เปลี่ยนไป
เมื่อไม่มีความศรัทธาเทิดทูน ภูเขาก็ไม่ได้สูงสง่าน่าคร้ามเกรงอีก

เธอตัดพ้อต่อว่ายิ่งมาก ก็ยิ่งได้รับบาดแผลมาก
ทำไมเธอจึงสามารถมองเห็นภูเขาอีกลูกหนึ่งที่บนยอดเขาเล่า?
เป็นเพราะภูเขาที่เธอเหยียบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้ายกสายตาของเธอให้สูงขึ้นเท่านั้นเอง

คนเราขอเพียงรู้จักถนอมรักสิ่งที่มีที่ครอบครองในบัดนี้ จึงจะมีความสุขที่แท้จริง
รัก ถนอมคนทุกคนที่อยู่ข้างกาย และเรื่องทุกเรื่องใกล้ๆ ตัวให้ดีๆ 
สิ่งเหล่านี้คือบุญวาสนาที่ทำมาแต่ปางก่อนนับหมื่นปีของเธอ!



ราชอบขึ้นเขา มันทำให้เราต้องใช้สมาธิกับมันมากกว่าทะเล หรือที่อื่น
และยิ่งลำบากกายเท่าไร ยิ่งทำให้เราลืมเรื่องต่างๆ ได้มากเท่านั้น
มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น



จะว่าไป การขึ้นเขาก็เหมือน...ชีวิต...ที่ต้องรับมือกับอะไรที่...บางทีก็ไม่ได้คาดไว้หลายๆ อย่าง...
แต่เราดันนึกถึงข้อความนี้ของนิ้วกลม...

"ความผิดหวังทำให้เรากลับมาเป็น -ผู้ใหญ่- อีกครั้ง เติบโตจากวุฒิภาวะว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในโลกใบนี้ได้ ใจเต้นช้าลง แววตาสงบขึ้น มีสติ ไม่เพ้อคลั่งเพราะความรักในสิ่งนั้นอีกต่อไป กระทั่งตักเตือนตัวเองว่าอย่าคาดหวังให้มากนัก และระวังความรักให้ดี

และถึงที่สุด ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่สมหวังหรือผิดหวัง มากเท่ากับที่เรายังมีความหวัง เพราะมันทำให้เราได้รู้สึกได้ถึงชีวิต ถึงความหมายของการมีชีวิต หวังโดยไม่กลัวผิดหวัง ผิดหวังซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา...

มันไม่ได้เจ็บปวดน้อยลง ... แต่เรารับมือมันได้ดีขึ้น
เหมือนยังคงเจ็บตอนหกล้ม แต่ไม่ตกอกตกใจเหมือนตอนล้มครั้งแรก..."




ชีวิตโหยหาภูเขามาก ณ จุดนี้ ...
ได้เวลาเดินทางอีกครั้งแล้วสินะ 
เสร็จงานเมื่อไรน้อ? 

ไปช่วยพ่อสร้างสะพานกันเถอะ #2 [BKK GovJam2015]

จบไปแล้วกับ BKK Public Service Jam #GGovJam ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว

เป็นงานที่มุ่งมั่นจะให้ประโยชน์แก่คนหมู่มาก ... โดยเฉพาะให้ "แนวคิด" "กระบวนการคิด" "วิธีการทำงาน" กับคนทั่วไปและคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการทำงานในครั้งนี้

พูดง่ายๆ คือ มาเรียนรู้เพื่อที่จะเป็น "ผู้สร้าง-ผู้พัฒนา" ที่ดี นั่นเอง


สะพานแขวนใน จ.ตาก จากกล้องตัวเก่าของเราเอง T_T อยากได้เลนส์นั้นอีก

(ขอ Quote คำจาก slide ของวิทยากรหน่อย พอดีเป็นรูปสะพานเหมือนกัน มันเข้ากับชื่อเรื่องของเราด้วย ไปช่วยพ่อสร้างสะพานกันเถอะ #1 ^^)

Design is not about shape, color, lighting or decoration of the bridge. It's about "How to across the river". 

เนื้อหาของงานปีนี้ ทีมงานบอกว่ามีการปรับปรุงจนมาเป็นรอบที่มีการสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบบริการ (Service Design) โดยอิงอาศัยแนวคิดการออกแบบ (Design Thinking) ซึ่งเราว่าดีนะ อย่างน้อยมีแนวทางการทำงาน ยิ่งคนที่มาในครั้งนี้มีภูมิหลังที่หลากหลาย คนที่ไม่ได้เรียนด้านการออกแบบมาอาจจะใช้วิธีการคนละแบบ (ไม่อาจล่ะ ใช้คนละแบบกันเลย)

สำหรับเรา อยากมาเรียนรู้กระบวนการสร้างความ "เข้าถึง" ตาม TQA # 6.1 ซึ่งเราเองติดตามมาตั้งแต่ปีก่อนโน้น (2013)  แต่ติด project ซะจนพลาดไป...

ถ้าพูดภาษา TQA Geek ทั้งหลาย จะใช้กระบวนการเชิงวิศวกรรม ที่เรียกว่า QFD (Quality Function Deployment) บวกกับ TRIZ ในการวิเคราะห์ ตอบโจทย์ TQA # 6.1
[ความหมายของ TRIZ และ QFD อยู่ด้านล่างค่ะ ^^]

ในขณะที่ถ้าพูดด้วยภาษาของนักสร้างแบรนด์ นักการตลาด ก็ต้องบอกว่า Service Design เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิด CRM (Customer relationship management) CEM (Customer experience management) ที่บางสำนักอาจจะมองว่า It's OUT แต่สำหรับเรามันยังไม่ out หรอกนะ ตราบใดที่เป็นเรื่องของคน ^^


มาดูกันว่าเราได้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงหรือเปล่า?

ช่วงทำความเข้าใจ วิทยากรก็จะมีการถามว่า คิดถึง public service คิดถึงอะไรบ้าง? .... เป็นที่น่าแปลกใจว่า public service ที่เราคิดถึงคือคุก ฮากันทั้งบาง LoL
เราคิดถึงจริงๆ นะ เพราะเคยชิน เย้ยยยยยย!!!! ก็ทำกระบวนการยุติธรรมมาตั้งนาน ณ ตอนนี้บิดาก็ยังต้องไปบรรยายในคุกอยู่ทุกเดือน

แต่พอได้ Theme ของปีนี้มา ก็มีคนคิดถึง "คุก" เหมือนกับเรานั่นแหละน้าาา...เหมือนมะคะ? ^^



ปีที่แล้วมันคือ Hero ปีนี้มันคืออัลไลลลลลลลลลลลลลล
ตอนประกาศ Theme ออกมานี่ เหวอกันเหอะ บอกเลย 555
Including ทีมงานนะเราว่า 

พอได้ Theme มาแล้วก็ถึงขั้นตอนระดมสมอง เลือกหัวข้อกัน ทีมงานให้แต่ละคนคิดไอเดียเกี่ยวกับบริการสาธารณะที่รู้สึกหรือคิดได้เมื่อมองเห็น Theme ข้างต้นคนละ 2 ไอเดีย แล้วจะให้กลุ่มให้คะแนน แต่ละคนผลัดกันเดินแลกกันไปเรื่อยๆ เพลงหยุด ก็จะให้คะแนนแผ่นที่ตัวเองเจอ โดยมีคะแนนรวม 1 แผ่นต่อเจ็ดคะแนน คะแนนสูงสุดคือ เรื่องที่ทุกคนเห็นพ้องกันว่า เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่เราจำได้ก็จะมี...

ถ่าย ซ่อม เมือง >> ย่อยเป็น 2 กลุ่ม

ความปลอดภัยของสตรีที่กลับบ้านดึก

ความเครียด (ของคนเมือง) >> ย่อยเป็น 2 กลุ่ม

ความปลอดภัยของคนที่อยู่ (บ้าน) คนเดียว >> เวลา present มี 2 กลุ่มง่ะ

บริการสาธารณสุข (ชื่อเราจำไม่ได้แล้วอ่ะ ... จำได้แต่เป็นกลุ่มสาวงาม ^^")

--------------------------------------------------------------------------- >>>

กลุ่มเรามี 6 คน แต่ในที่สุดก็เหลือ 5 คน ซึ่งพวกเรามีเวลาเริ่มงานกันไม่ถึง 48 ชั่วโมง (ก็ขอนอนบ้างไรบ้างนะ แหมมมม)

เราชอบพลวัตของกลุ่มในงานนี้มากๆๆๆๆๆ 

วันแรก...เราไม่รู้จักกันเลย เราแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครชื่ออะไร เราได้แต่แลกเบอร์และสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมา อาจเป็นโชคดีของเราด้วยที่ได้สมาชิกในกลุ่มแบบนี้ .... หรือเพราะเวลา??

ค่ำๆ วันแรก กลุ่มเรากลับก่อนกลุ่มอื่น! เพราะเราสรุปกันโคตรง่าย 555 ว่า Goal คืออะไร concept คืออะไรในภาพจะเห็นแผ่นสีฟ้าๆ นั่นล่ะ เสร็จแล้วจบ....จบเร็วชะมัด

แล้วเราก็คิดตลอดทางที่กลับบ้าน....เราพลาดอะไรไปหรือเปล่าน้าาาา มันมีหลุมพรางอะไรซ่อนอยู่มั้ย?



วันที่สอง...(จริงๆ แล้วคือวันที่ 1 ของงาน เพราะกำหนดการไม่รวมวันทำความเข้าใจ) เราก็ยังขัดๆ เขินๆ กันอยู่ ทีมเรามีหนูน้อย น้องอะตอม เด็ก I.D KMITL โคตรดีใจอ่ะ มีหนูอยู่ด้วย เพราะมันทำให้งานง่ายขึ้นมาก 555+  น้องแม็กจาก TCDC เชียงใหม่ เราก็หวังพึ่งละ น้องเด็ก TCDC ต้องรู้กระบวนการบ้างแหละ พี่มะรู้ไรเลยยยย (แม็กบอกว่าผมก็...) น้องสุ แปลดีงาม นักกายภาพบำบัด น้องแชมป์ นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สองคนนี้อเมซิ่งมากกก เราทำได้กันทุกอย่างจริงๆ เริ่ดฝุดๆ 

เกม "Yes...and" กับ "Yes...but" เป็นกิจกรรมที่ดีมากเลย เราตกลงใจที่จะใช้ Yes...and ในกลุ่มของเรา โดยที่ไม่มีการบอกว่าตกลง....มันทำให้ความคิดเราลื่นไหลขึ้นเยอะ ทำงานง่ายขึ้นเยอะ เหลียวไปดูกลุ่มอื่นๆ ก็คงจะเหมือนๆ กัน

วันนี้พวกเราถูกไล่ให้ไปทำ exploration ตามกฎของ GovJam "DOING not Talking" ด้วยความที่พวกเรายังคุยกันไม่จบเบยย (ก็เมื่อวานกลับซะเร็ว -_-") เลยเดินไปคุยไปในสวนเบญแพร๊พพ แล้วเราก็ตัดสินใจไป explore กลุ่มเป้าหมายกันที่ "อนุสาวรียชัยสมรภูมิ" ^^ ซึ่งพอกลับมาเราก็เพิ่งรู้ว่า เราเป็นกลุ่มเดียวที่ออกไปไกลขนาดน้านนนนน 

เราเป็นนักวิจัยก็จริง...แต่ไม่ได้ลงพื้นที่จริงๆ มา 2 ปีละ โจทย์ของเราคือ พยายามหาว่า ประชาชนทั่วไปมีพฤติกรรมการร้องเรียน แจ้งซ่อมบริการสาธารณะที่ปรักหักพังอย่างไร? และมีพฤติกรรมการใช้มือถืออย่างไร เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ แอพ Govfix ของเราจะมีคน Download มาใช้ เราแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม คุยๆ กันได้สัก 10 คนมั้ง...

(การหาเป้าหมายสำหรับการพูดคุยนี่มันส์เสมอเลย 555+ เราเจอะคุณพี่จากสุพรรณที่ยอมให้สัมภาษณ์ แต่เขินเกินกว่าจะพูดอะไรกับพวกเรา เจอกลุ่มพี่วินที่ลุกหนีเราไปเฉยๆ ทั้งวง T_T เจอน้องๆ ที่ไม่ว่างเพราะนั่งเล่นมือถืออย่างเมามัน และคุณลุงที่บอกว่าเป็นอัมพฤกษ์ ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ -_-" สภาพแบบนี้เจอได้ทั่วไปในสนาม สมัยก่อนเจอกันทุกรูปแบบ ...เราชอบงานวิจัยก็เพราะอย่างนี้แหละ...มันเป็นเสน่ห์ของการเก็บข้อมูลจริงๆ 
------- ยังไงก็ ขอบคุณผู้ให้ข้อมูลของเราทุกท่านนะค้าาา ทั้งพี่เทศกิจ พี่ขสมก. พี่วินรถตู้ พี่แม่ค้า น้องนักศึกษา ฯลฯ)  

ผลเหรอ??? ทำไปเหอะแอพถ่าย-ซ่อม-เมือง ไม่มีคนใช้หรอก ... แล้วก็จะเหมือนกับแอพร้องเรียนของศูนย์ดำรงธรรมที่ต้องเลิกใช้ไปในที่สุด คนแบบไหนที่จะร้องเรียนอ่ะมี ช่องทางอ่ะมี แต่ทำยังไงให้แอพเป็นประโยชน์สูงสุด 

พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมที่ให้คนทั่วไปมาเป็นให้พวก Node แทน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการทำ persona, Idea creation ซึ่งกลุ่มพวกเราอับเฉามากกกกกกกกกก ไม่ค่อยมี fa มาหาเราเลย ต้องส่งเสียงเรียก 5555 และก็พบว่า พวกเราทำผิดขั้นตอน 5555+ เจอ PAT Klear ด้วย ปกติเป็นแฟนคลับอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะนางฟ้าขนาดนี้ 555+ แพทเป็นคนอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ ทั้งเรื่อง persona ทั้งเรื่อง idea creation คริๆ เค้าขยับจากแฟนคลับเป็นติ่งเคลียร์ละนะ

ล่วงเลยผ่านจาก idea creation, selection ไปถึง customer journey แต่งานนี้ไม่มีเวลามากพอที่จะลงเรื่อง service blueprint พวกเราใช้เวลา research เกี่ยวกับช่องทางการร้องเรียนมาบ้างแล้ว และในที่สุดก็ได้เลือกช่องที่ทางหลากหลายสำหรับประชาชนที่มีความถนัด และความต้องการต่างๆ กัน 

วันที่สาม บอกเลยว่า "ล่กฝุดๆ" เพราะต้อง upload ผลงานตอนบ่าย 3 ใช่มะ ถ้าจำไม่ผิด อร้ายยยยย เรามาถึงกันตอน 9 โมงนะ มีเวลาแป๊บเดียว ข้าวเขิ้วไม่ต้องกิน ขนม TCDC จัดให้ หวานๆ ทั้งน้านนนนน แชมป์ทำแอพ prototype จาก POP อะตอมวาด wire frame สุกับแมกซ์ทำช่องทางอื่นๆ เราทำ prototype เว็บกับเฟส เสร็จแล้วต้องถ่ายทำ presentation ขอบอกว่า แย่กว่ากลุ่มอื่นฝุดๆๆๆๆๆ 

Govjam Official

กลุ่มอื่นๆ นี่เจ๋งมากกกกกกกกกกกกกก คุณทำกันได้ยังงายยยยยยยยยย คุณเครื่องมือพร้อมกันมากมายอ่ะ

จริงๆ แนวทางการทำงานของกลุ่มอื่นก็สุดยอดมากเช่นกัน เวลาออกมานำเสนอเรานี่ทึ่งมาก....เพราะหลายกลุ่มคือตีโจทย์ได้แตกต่างกันมาก ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน ...เสียดายที่ไม่มีเวลาไปเดินดูเพื่อนๆ เพราะกลัวทำงานไม่ทันจริงๆ

หลังจาก present ทีมงาน TCDC ให้ช่วยกันโหวต เรื่อง presentation ที่เริ่ดที่สุด กับ prototype ที่น่าใช้ที่สุด ซึ่ง presentation กลุ่มสาวกลับดึก ชื่อแอพอะไร Local Hero นะ (เดี๋ยวไปค้นมาอัพเดตอีกที) ทำได้ดีมากถล่มทลาย

prototype ที่อยากใช้ที่สุดมี 2 กลุ่มคะแนนเท่ากัน เป็น arma box สำหรับผู้สูงวัยอยู่บ้านคนเดียว และ govfix ของพวกเรา เราว่าสิ่งที่เหมือนกันของ prototype ที่เพื่อนๆ อยากใช้ เพราะว่า มีความหลากหลายในเครื่องมือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง...เข้าใจง่าย ใช้งานง่าย ^^  ... เราได้เรียนรู้วิธีเข้าใจ และเข้าถึง แล้วนะ ^^

งาน 2 วันครึ่งนี้ ทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก เรามีทีมที่มหัศจรรย์ กระบวนการที่มหัศจรรย์ (จริงๆ ก็เว่อร์ไป๊ 555) ซึ่งดึงพลังของมนุษย์ออกมาได้ในเวลาอันสั้น งานนี้ทำให้เรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วกระบวนการทำงานปกตินี่ มันยาวยืดเกินความจำเป็นจริงๆ เนอะ more of talking 555



ไปช่วยพ่อสร้างสะพาน #2 จบลงที่ Prototype 




และเราไม่ได้ไปต่อในงาน Creative Energy #ร้องไห้หนักมากกกกกกก  


>>> สำหรับ Govfix เราอยากให้มันเกิดขึ้นจริงๆ...ซึ่งการออกแบบบริการสาธารณะมันจะหนักที่งานหลังบ้านมากๆ และต้องอาศัยพลังภายในขั้นสูง ไม่งั้นจะตายเหมือน spond เหมือนจุดจอดรถอัจฉริยะทั้งหลาย...ที่เริ่มแล้วเดินกระโผลกกระเผลก รู้สึกเสียดายภาษียิ่งนักนั่นแหละ <<<

ว่าแล้วก็ขอไปดูหนังที่ TCDC จัดฉายก่อน เพื่อบิลด์...สงสัยจะต้องเพิ่มอีกเรื่องไม่งั้นคาใจ  555+

สนใจดูรายละเอียดหนังได้ค่ะ A design film festival bangkok 2015



สาระเพิ่มเติม : (เดี๋ยวเราจะเขียนเพิ่มใน entry ถัดๆ ไปนะคะ ณ ตอนนี้หนังสือรอเพียบบบบ)

  1. QFD (Quality function deployment) เป็นเครื่องมือสำหรับการนำความต้องการของลูกค้ามาเปลี่ยนเป็นข้อกำหนดในการออกแบบ และข้อกำหนดที่จำเป็นในการผลิต ซึ่งเป็นกระบวนการเชิงระบบรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นการแก้ไข (เชิงรับ) เป็นการควบคุมคุณภาพเชิงป้องกัน (มันมี maturation ของการวางแผนอยู่เนอะ)

    หลักการสำคัญ "House of Quality"
  2. TRIZ ทฤษฎีการแก้ปัญหาเชิงประดิษฐ์คิดค้น (Theory of Inventive Problem Solving) 


ขอบคุณข้อมูลจาก 

1) https://blog.eduzones.com/friendly/40431
2) http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=97&read=true&count=true#sthash.RrL652AD.dpuf

Hostel Review : Oneday hostel Bangkok@ Sukhumvit 26



One day | Pause


ด้วยเหตุที่เพื่อนสาวของเราต้องกลับไปดูแลกิจการ ณ ภูเก็ต และโดยนิสัยที่เราสองคนมักจะเอนจอยกับการไปเที่ยวและหาที่พักงามๆ (จริงๆ แล้วจอยเป็นเยอะกว่า 555+) หลักการของพวกเราคือ ดี ประหยัด สวย คุ้ม ^^ เดิมเคยลงในเฟสบุ๊คแต่ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆ ก็เลยจะเขียนลงในบล็อคไปเลยแล้วกัน


เราเขียนตาม Journey ของเราแล้วกัน

ก่อนพัก >> 

จอย สาวผู้ขยัน search หาที่เที่ยวและที่พักน่าพัก คือบางทีที่พักสวยๆ ก็เป็นเหตุหนึ่งให้เราเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปเที่ยว ^^ 

ไลฟ์สไตล์ของเพื่อนสาวเราคือความสวยงาม มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง วินเทจ-วิคตอเรียน คือแนวพื้นฐาน ถ้าจะเท่ก็ต้องแบบมีอะไรเก๋ๆ ที่จะดึงดูดใจเธอได้เพื่อให้ดูคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ส่วนเรา “อะไรก็ได้” 555+ เหมือนจะเป็นคนง่ายจังเนอะ คือเพื่อนจองแล้วอะไรก็ได้จริงๆ เห็นออกมาสวยหมด

สาวจอย...ต้นเรื่องของเราในครั้งนี้และทุกๆ ครั้งค่ะ ^^

ครั้งแรกที่ได้ดูรูปจากจอยแล้ว เฮ้ยสวยยย ชอบคือเป็นคนบ้าอิฐ ผิวไม้ อันนี้จริงจัง! ข้างนอกเป็น Chic loft เท่ๆ ไปๆๆ แต่ฟ้าไม่ค่อยเข้าข้าง ข้อจำกัดเยอะ...มีเวลาถ่ายรูปน้อยมาก เสียดาย T_T

การเดินทาง : “ค่อนข้าง” สะดวก เพราะอยู่ในซอย สุขุมวิท 26 เดินจากสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงศ์ ทางออกฝั่งเดียวกับเอ็มโพเรียม ที่บอกว่า “ค่อนข้าง” เพราะ 
ข้อ 1) ถ้าแบกเป้เนี่ย สบาย แต่ถ้าเป็นกระเป๋าลากหรือถือนี่ยากแน่ ทางเดินสาธารณะของกรุงเทพ เดินง่ายที่ไหน :( 
ข้อ 2) เส้นทางแลดูมืดๆ เหมือนจะไม่น่าปลอดภัยนักสำหรับผู้หญิง แต่ระหว่างทางมีร้านบาร์ คาราโอเกะสไตล์ญี่ปุ่นอยู่เยอะ แล้วก็มีโรงแรมอยู่ประมาณ 3 แห่งก่อนถึง One day คือ Arize hotel, Double tree by Hilton และก็ 49 Lucky Hotel 555+ ก็คงปลอดภัยแหละ 
ข้อ 3) ป้าย One day เห็นง่ายกลมๆ ตัวอักษรขาวบนพื้นดำ เด่นตอนกลางคืน
  
เข้าพัก >> 

One day BKK เป็นทั้ง Hostel และ Co-working space ที่ตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปท์ชัดเจน ว่า One day | Pause เพราะ เราจะทำให้หนึ่งวันในกรุงเทพของคุณ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำในฐานะที่เป็น “วันหนึ่งในชีวิต” [We love to make you feel ONEDAY in Bangkok to be memorable as ONEDAY in your life]  

เข้าไปแล้วรู้สึกทึ่งกับสถานที่มากๆ นะ (เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่าเป็นโกดังเก่า ตอนแรกคิดว่าเป็นอาคารสำนักงานที่กล้าทำเพดานสูงขนาดนั้นซะอีก คาดว่าไม่ต่ำกว่า 4 เมตรป่ะ แค่ประตูก็น่าจะ 2.5 แล้วมั้ง) 


ความสูงของหน้าต่าง เทียบกับคนตัวเตี้ยๆ อย่างเรา


ประทับใจในสถานที่มากๆ ค่ะ สวยมาก คือทุกอย่างเป๊ะไปหมด ... (ไปครั้งที่สองสิ่งที่ไม่เป๊ะมีจุดเดียวมั้ง...ห้องน้ำชั้นล่างง่ะ) คือบางที่อาจจะมีเก็บงานไม่ละเอียดอะไรอย่างนี้ แต่นี่คือแบบ งานเนี๊ยบสุดๆ บรรยากาศจะรู้สึกไม่เหมือนอยู่ใน กทม. เลยเชียว แต่มีความพยายามทำให้รู้สึกว่าอยู่ในเมืองไทยบ้าง ตรงภาพที่ใช้ตกแต่งทางขึ้นบันได เป็นภาพขาว-ดำ ของเมืองไทยในมุมต่างๆ ส่วนใหญ่เป็น กทม. ภาพระหว่างทางเดินไปห้องจะเป็นภาพเกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง และที่สำคัญ ด้านล่างส่วนที่เป็นห้อง Common มีตู้โค้ก! คือแบบ...ไทยน้ำทิพย์ -_-! แต่ความรู้สึกตอนเราเดินเข้าไปตอนกลางคืน แสงสวยมากเลย  


โถงบันไดทางขึ้น ภาพถ่ายสวยๆ ทั้งนั้นค่ะ



บริเวณด้านนอกก่อนเข้าที่พัก จะผ่านร้านกาแฟ Casa Lapin และ
Oneday | Forward Coworking Space ค่ะ

ห้องพัก >> ที่นี่มีห้องพักที่ตกแต่งแตกต่างกันหลายแบบ เราพักห้อง f อยู่ริมและเดินไกลมาก แต่โอเค ชอบบรรยากาศตอนเดิน อารมณ์ประมาณเด็กหอ รอบข้างเต็มไปด้วยอิฐ 555 (แต่ไม่หลอนนะ) ขนาดห้อง ไม่เกิน 15 ตรม. เตียงใหญ่และนอนสบายมาก ^^ พื้นที่รอบๆ เตียงจึงมีไม่มากนัก ความสะดวกเรื่องของที่แขวนเสื้อผ้าไม่ค่อยสะดวกนัก สำหรับคนที่อาจจะชอบการมีตู้เป็นสัดส่วน ผนังห้องไม่เก็บเสียงนะจ้ะ อาจจะทรมานนิดนึงสำหรับคนที่ sensitive แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา 555+ ด้วยความที่ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้ห้องน้ำรวม พื้นที่สำหรับแต่งตัวจึงไม่มีนะคะ มีกระจกจริง แต่แสงไม่พอ ถ้าจะทำงานก็มาทำข้างล่าง


ภาพบน : เห็นขวดน้ำทิพย์มั้ยคะ สองขวดเขียวๆ
ภาพล่าง : ข้างเตียงมีพื้นที่เท่าที่จอยยืนค่ะ

น้ำ >> ได้น้ำทิพย์มาสองขวดค่ะ ด้านความพอเพียงสำหรับเราก็โอเค แต่ว่า อารมณ์แบบห้อง chic loft/Nordic มากๆ แต่เจอขวดน้ำทิพย์ไรงี้ มันทำให้รู้สึกขัดตาง่ะ 


Wifi >> มันก็สำคัญนะ ไม่รู้ว่าเราอยู่ในห้องที่ไกลจาก router มากหรือเปล่า สัญญาณมันอ่อนมาก ข้างล่างคงดีมั้ง

สภาพภายในห้องและ key card ค่ะ key card ที่นี่จะมีเสียงเตือนบ่อยนิด ต้องปิดให้สนิทจริงๆ


อาหารเช้า >> ผู้เข้าพักจะได้คูปองอาหารเช้าที่มีช่องไว้สำหรับให้เลือก ประเภทของไข่และน้ำค่ะ เป็น Gimmick เล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ อาหารใช้ได้นะคะ ไข่อร่อยดี ^^ รับอาหารเช้าที่ห้องอาหาร One day ค่ะ มีรายการอาหารหลากหลายให้เลือกสั่งได้นอกจากเซ็ทอาหารเช้านะคะ 


ล่างซ้าย : อาหารที่สั่งนะคะ
ภาพบนในจานเราคือ สิ่งที่จะได้รับจริงค่ะ (ยกเว้นชาเขียวปั่นนะ)
สองสาวยืนโพสต์เก๋ๆ ตรงกระจกหน้าห้องอาหารค่ะ


ภายในห้องอาหารค่ะ ชื่อ One day ด้วยรึเปล่าน้าาา?

ตรงด้านหน้าติดกับห้องอาหารจะเป็นร้านกาแฟ Casa Lapin นะคะ ชาเขียวอร่อยมากอ่ะ


Casa Lapin


พื้นที่ส่วนรวม >>

ห้องครัว: สวยมากกกกก เด่นสุดตรงโต๊ะกินข้าวส่วนกลาง ต้นไม้ตรึม แสงสวยทั้งเช้าและกลางคืน บรรยากาศสไตล์ Barn (เค้าว่ามันคือ Rustic loft ล่ะ) และด้วยความที่เราเฟอะ ขนาดลืมใส่การ์ดลงไป กดเพลินโดยไม่อ่านอะไรเลย เสียดายรูปภาพพพพ ...สิ่งอำนวยความสะดวก มีตู้เย็น (จริงๆ ถ้าเป็น Smeg จะสวยกว่านี้ 555 ชั้นหวังอะไรอยู่!) ตู้กับข้าว...อืม จำไม่ผิดนะ ตู้กับข้าว -_-“ กระจกที่ทำเป็นเขียงหรือเขียงที่ทำเป็นกระจก อันนี้ชอบ อ่างล้างจาน


มองเห็นเขียงกับตู้กับข้าวมั้ยคะ? ... แน่ะ บอกว่าอย่ามองตู้เย็น


ห้องพักผ่อนส่วนกลาง: มีเครื่องคอมส่วนกลางให้ เครื่อง อารมณ์ประมาณอยู่ในมหาลัย 555 โซฟาน่าเอนอีกหลายตัว ตรงบันไดมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เครื่อง
ห้อง entertainment ประมาณดูหนังฟังเพลง ห้องนี้สวยและน่าสบายมากๆ (แต่ไม่มีเวลาจะใช้ T_T)    


ภาพบน : ด้านนอกก่อนเข้าร้านอาหาร
ภาพล่าง : ห้อง common ค่ะ


ห้องน้ำห้องน้ำรวมเริ่ดอ่ะ กว้าง เพดานสูง ชอบมาก มันหอพักดีๆ นี่เอง 555 อ่างล้างหน้าเยอะทั้งจำนวนและไฟ (มันร้อนอ่ะ) อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างไดร์เป่าผมมีหลายอันดี ห้องแต่งตัว 3 ห้องย่อย ตะกร้าใส่ผ้ากระจุกกระจิก ห้องอาบน้ำมีแชมพูและครีมอาบน้ำ น้ำแรงดีมาก ที่ทำน้ำอุ่นอยู่สูง (คือไม่ดีสำหรับคนเตี้ยอย่างเรา จะปรับอะไรก็มองไม่เห็น ^^”)


บนซ้าย : ห้องสุขาอยู่ต้นๆ ห้องอาบน้ำคือส่วนที่อยู่ด้านใน
บนขวา : เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ
ล่างซ้าย : โถงทางเดิน
ล่างขวา : อ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง...ตรงข้ามกับอ่างจะเป็นห้องแต่งตัวค่ะ 


เจ้าหน้าที่ >> เฉพาะ front พบทั้งหมด คนด้วยกัน (นิสัย) น่ารักมากๆ คน ที่เหลือกลางๆ ค่ะ คือเคยเจอที่อื่นที่ friendly กว่านี้มากง่ะ บางทีตรงนี้มันเป็นข้อจำกัดของคนเหมือนกันนะ บางคนก็หน้ายิ้มเสมอ บางคนก็อาจจะดูดุแต่จริงๆ friendly

ความคุ้มค่า >> เราว่าคุ้มนะ เสพการตกแต่งสวยๆ ให้อิ่มไปเลย ราคา 1500 เราว่าโอเค เพราะแถวๆ ศาลาแดงก็ 1200++ เรียบง่ายกว่านี้เยอะ Lab D ก็เรท 13-1400 มั้งนะ (ห้องเดี่ยว ห้องน้ำรวม) ห้องจิ๋วกว่ามาก ห้องน้ำก็ไม่อลังเท่า     


หลังพัก >> 

ก็นั่งเขียน Blog อยู่เนี่ยแหละด้วยความชื่นชม ^^ ถ้าไม่พอใจก็คงจะมี feed back เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนเราถ้าไม่ต้องใช้อะไรประจำ ก็จะไม่บ่นนะ แค่ไปครั้งเดียวและไม่กลับไปอีกเท่านั้นเอง...แต่เดี๋ยวนี้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปนะคะ คือกล้าที่จะ voice มากขึ้นอันนี้ก็ประมาทไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าแก้ไขตามคนที่ voice แล้วเขาจะกลับมาใช้อีกนะ ถ้ามันเป็นจุดที่มีผลกระทบกับคนเยอะๆ ปรับได้ก็ปรับ  

เราเข้าไปอ่านรีวิว หลายๆ คนชื่นชมเรื่องการตกแต่งเหมือนเรา แต่ด้วยความที่กรุงเทพมีตัวเลือกเยอะมาก นักท่องเที่ยวบางคนก็บอกว่าอาจจะหาตัวเลือกใหม่ๆ ต่อไป 


รอบหน้า สาวจอยจะพาเราไปที่ไหนน้าาาา...?


สำหรับการพักในโรงแรมแบบปกติ คงเป็นกรณีพิเศษขึ้นมาหน่อย ประมาณว่า ทำงานทำการ แบบหาที่พักสำหรับจัด outing คือมุ่งไปที่แนว MICE เลย เพราะแต่ละที่ต้องเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนภายในงบที่มีอยู่ 555 ซึ่งเสียงตอบรับก็โอเคนะ ถ่ายรูปออกมาสวยแน่นอน (ต่อมาก็ไม่ได้ทำละ 555+) ไว้จะเอาที่พักตอนไป Outing มารีวิว 

เวลารีวิวที่พัก หลักการที่ใช้คือ อย่าเชื่อรูปโฆษณามาก เพราะรูปจากโปร อย่างใน “ชานไม้ชายเขา” คนอะไรถ่ายรูปสวยโคตรๆ กับพวกเราถ่ายออกมามันคนละเรื่องกัน พยายามดูรูปที่คนธรรมดาๆ รีวิว จะไม่ผิดหวังมากนัก 
บางที่ก็รูปออกมาสวยมากอย่าง รร. แห่งหนึ่งแถวพัทยา พอไปถึงมันเก่าสุดๆ โทรม อับ คือประสบการณ์ที่ได้รับติดลบเลยทันที ต้องไปดูและสัมผัสเองเท่านั้นค่ะ