ผู้จัดค่ายเล่าให้กลุ่มฟังว่า
เหตุผลที่ให้ทุกคนเขียนจดหมายถึงตัวเอง​ เป็นเหมือนการบันทึกความทรงจำที่เวลากลับมาอ่านอีกที​ เราจะได้อะไรจากมันมากมาย​และบางครั้ง​ก็มีน้ำตา
ตอนฟังเราคิดในใจ... เซนซิทีฟจัง
แต่พอกลับบ้านมาดูรูปงานเก่าๆ​ ที่เราเคยไป​เราก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน​ ด้วยอารมณ์​หลากหลายปนกัน​ คิดถึง​คนทุกคนที่เจอ​ ขอบคุ​ณน้ำใจและมิตรภาพ​ที่ทุกคนมีให้​ ดีใจที่ตัวเองได้ออกไปทำอะไรแบบนั้น​ เอาเป็นว่า​ เราเริ่มจากการบันทึกโน้ตที่เขียนในทริปสั้นๆ​ นี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาย้อนรำลึกถึงทริปที่ผ่านๆ​ มาแล้วกัน

25-26 กรกฎาคม​ 2563
ค่ายเยาวชนเชียงดาว
ถึง..เรา

สองวันนี้มาปลูกป่าได้อย่างที่ตั้งใจ​ซึ่งน่าดีใจมากที่อาการป่วยทั้งที่เท้าขวาและอาการปวดท้องไม่กำเริบขึ้นมา​ เรายังทำกิจกรรมต่างๆ​ ได้ค่อนข้างปกติ​ ถึงแม้จะรู้สึกว่า มันอ่อนแรงลงจากแต่ก่อนก็ตาม

ด้านจิตใจที่วุ่นวาย​ มันสงบลงจริงๆ​ นะ​ กลับไปเราคงสงบขึ้น​ วางใจเป็นกลาง​ เป็นธรรมชาติมากขึ้น​

ขอบคุณ​บี​ และโอกาสทุกอย่างที่ทำให้เราได้มาในครั้งนี้

Bye
See you next trip

บริเวณหน้าบ้านพักเจ้าหน้าที่อุทยาน.. ที่ไม่มีคนอยู่





นิยายจีนเรื่องแรกที่กลับมาอ่านในรอบกว่าทศวรรษ
และเป็นนิยายจีนพีเรียดแฟนตาซีที่กลับมาดูเรื่องแรกในรอบ​ 30​ ปี!!!
บัดนี้​ ข้ายังหลงอยู่ในป่าท้อหาทางออกได้​ไม่​​555
ที่ต้องมาพร่ำเพ้อในบล๊อคก็เพื่อบันทึกความบ้าคลั่งนี้ไว้​ เผื่อกลับมาย้อนอ่านซ้ำๆ​ ถึงความสำราญเหล่านี้​ เพราะเที่ยวบอกกับใครว่าพระเอกในเรื่องนี้​ เยี่ยหัวไทจื่อ​ คือพระเอกที่เพอร์เฟค​สุดแล้ว​ (สำหรับเรา)​ ในบรรดาเรื่องที่อ่านๆ​ และดูๆ​ มา ❤️

จะสปอยล์​ดีมั้ยน้า​ 555

เรื่องย่อ​ สามชาติสามภพ​ ป่าท้อสิบหลี่

ในดินแดนเซียนปัจจุบัน​  สี่ทะเล​ (เจ้าสมุทรประจิม​ บูรพา​ อุดร​ ทักษิณ)​ แปดดินแดน​ประกอบด้วยเผ่ามังกร​ ​(สวรรค์)​​ เผ่าจิ้งจอก​ (ชิงชิว​ 5 ดินแดนย่อย)​ เผ่าหงส์​ เผ่าปิศาจ​ ทุกเผ่าอยู่ร่วมกันอย่างค่อนข้างสงบสุข​ เพราะการควบคุมจัดการของเทพบิดร​ เทพมารดา​ มหาเทพ​ แต่ในรุ่นลูกของเทพบิดร​ (ม่อเยวียน) เผ่าปิศาจที่ฮึดฮัดมานานได้พยายามก่อความไม่สงบ​ หาเรื่องทำศึก​จนในที่สุดก็เลือกมาเรื่องหนึ่งเป็นชนวนสงคราม​ปิศาจ​-สวรรค์ (ศึกชิงนาย​ - ไม่ผิด... ศึกชิงนายจริงๆ)​ ทางสวรรค์​หาทางแก้เกม​ สร้างสายใยที่แนบแน่นกับชิงชิวด้วยการขอหมั้นนางเอกกับโอรสองค์รองของสวรรค์​

ในเวลานั้นนางเอก​ (ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว)​ ยังเป็นศิษย์คุนหลุนซวีของเทพสงครามม่อเยวียนและเพิ่งจะผ่านด่านเซียนชั้นสูงที่อาจารย์ดันออกรับแทน​ บาดเจ็บไม่ทันหายแต่ต้องมาทำสงครามจึงต้องสังเวยดวงจิตแก่อาวุธ​ร้ายแรงที่ตนเองสร้างขึ้น​ ซึ่งเทพบิดรเคยมอบไว้เป็นของกำนัลกับราชาปิศาจ​

นางเอกที่ถูกเสกให้เป็นชายเพื่อเข้าเรียนในสำนักฯ​ เสียใจที่ตนเองเป็นเหตุให้อาจารย์ผู้มีพระคุณต้องสลาย​ จึงทำทุกทางที่จะรักษาร่างอาจารย์​ไว้รอท่านกลับมา...

ลูกชายคนรองของราชาปิศาจขึ้นสืบตำแหน่งแทนพร้อมแต่งราชินี​ พร้อมกับที่​ (เยี่ยหัว)​ ที่เคยเป็นแค่ดวงจิตไปเกิดเป็นหลานเทียนจวินเผ่าสวรรค์​หลังสงครามครั้งนั้น​ โอรสองค์รองทำเรื่องอันเกิดจากการหลงรักข้ารับใช้นางเอก​ ทำให้ภาระหมั้นหมายกับนางเอกตกเป็นของเยี่ยหัว

เยี่ยหัวตั้งแต่เกิดกลายเป็นความหวังทั้งมวลของเผ่าสวรรค์​และมักถูกนำไปเปรียบเทียบ​กับม่อเยวียนบ่อยๆ​ เพราะเหมือนกันมาก​ จนกลายเป็นความกดดัน​ แต่ก็สามารถทำทุกอย่างได้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง​

เวลาผ่านไป​ ระฆังฉิงชางฤทธิ์อ่อนลงตามวาระ​ ป๋ายเฉี่ยนซึ่งเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่รู้วิธีจัดการจึงไปจัดการคนเดียวเงียบๆ​ ทำให้โดนอดีตราชาปิศาจที่ถูกขังอยู่จัดการกลบ​ กลายเป็นมนุษย์และลืมเรื่องราวทั้งหมด

เยี่ยหัวต้องไปจัดการปิศาจที่โลกมนุษย์​ บาดเจ็บอยู่ในร่างมังกรตัวเล็ก​ นางเอกจึงเก็บไปรักษา​เกิดเรื่องราวดีๆ​ มากมายจนนางเอกร่างมนุษย์ตั้งครรภ์... ​เพราะ​ "เยี่ยหัวไม่รู้ว่าแม่นางคือป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว" ​ ทั้งยังผิดกฎสวรรค์​ที่จะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์... ดังนั้นจึงวางแผนแกล้งตายเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน​ แต่ด่านสวรรค์​ไม่ปรานี​ ถูกจับกลับไปรับความทรมานบนสวรรค์​ ที่เยี่ยหัวทำได้เพียงรับแทนบางส่วน​ หลังคลอดลูก​ นางตั้งชื่อให้ลูกว่าจากพราก​แล้วตัดสินใจโดดหอที่เข้าใจผิดว่าคือทางกลับไปโลกมนุษย์​ พร้อมบอกลาเยี่ยหัว​

เกิดเรื่องขึ้นมากมาย​ ผ่านไปสามร้อยปี เยี่ยหัวจึงได้เจอกับคู่หมั้นและประโยคแรกที่พูดกับคู่หมั้นอย่างเป็นทางการ​ คือ​ "เยี่ยหัวไม่ทราบ​ ว่าแม่นางคือป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว" เรื่องราวจากนี้คือการปรับความเข้าใจระหว่างคนสองคน​ โดยมีลูกชายเป็นตัวประสาน​ อดีตราชาปิศาจยังไม่ถูกทำลาย​ ใครจะเป็นคนเก็บกวาดคดีนี้​ ป๋ายเฉี่ยน เยี่ยหัว​ หรือม่อเยวียน?

-------  🤔😇🤫  ----





นิยาย
มีน้องบอกว่าตลาดมันวายไปนานแล้ว​ ไยเพิ่งมาบ้าเอาตอนนี้​ ผู้แปลๆ​เรื่องนี้มาตั้งแต่ม​ 2552-2553  ร่วมสิบปีแล้ว... และเป็นช่วงสิบปีที่เราไม่แตะนิยายจีนเลยเช่นกัน

ผู้เขียน​ (ถังชีกงจื่อ) เขียนนิยายจีนได้อย่างมีอารมณ์ขันยิ่ง​ เป็นคนรุ่นปัจจุบัน​ที่เอาความเป็นปัจจุบัน​ผนวกกับกลิ่นอายความโบราณได้ดี​ คือการดำเนินเรื่องและภาษาที่ใช้​คล้ายคลึงกับผู้แต่งเรื่องสมัยก่อนอยู่หลายส่วน​ แถมมีจิกกัดนิยายจีนกำลังภายในเบาๆ​ พอให้ขำด้วย

การดำเนินเรื่อง... เหมือนนิยายสมัยใหม่​ มีแบ่งพาร์ทเป็นมุมมองนางเอก​-มุมมองพระเอก​เลยสนุกเวลาอ่านแล้วเอาสองพาร์ทมาเทียบกัน​ เนื้อเรื่องกระชับ​ ภาษาไม่เวิ่นเว้อ รายละเอียดมีการเอาของเก่า​ (ประวัติศาสตร์​+ตำนาน)​ มาปนกับของใหม่​ และมั่วต่อ​ แฟนตาซีได้เพราะไม่ใช่นิยายอิงประวัติศาสตร์​ รู้มากก็อย่าคิดเยอะ​ เพราะนิยายอยากให้เราสนุก​ 555

ไม่อยากให้คะแนน...เพราะอ่านหลังจากดูซีรีย์แล้ว​ และอยากทราบความคิดเบื้องหลังตัวละคร​ รวมทั้งอ่านตอนพิเศษต่อเนื่องด้วย​ ทั้งเราก็ไม่อาจเอาไปเทียบรวมกับนิยายจีนทั้งหลายที่เราอ่านมา.. ก็ดูจะไม่ยุติธรรม​เท่าไร

เรื่องเริ่มต้นด้วยมุมมองของนางเอก​และจุดพีคที่เป็น​ "ความแค้น" ของเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น​ แล้วค่อยมีมุมมองของพระเอกคั่นกลางเรื่อง​ มีการบิดเข้าสู่อดีตของนางเอกบ้างกว่าที่จะเดินทางมาตอนจบ

ซึ่ง... ทำให้คนอ่านค้างคาใจยิ่งว่าเหตุใดพระเอกจึงทำร้ายนางเอกได้ขนาดนั้น​ แถมคนอ่านหญิงจำนวนไม่น้อยที่แค้นแล้วแค้นเลยจ้าาา​ ความดีใดๆ​ ไม่สามารถลบล้างความผิดได้แม้แต่น้อย​ กว่าจะเข้าใจก็ตอนสุดท้ายที่เป็นมุมมองพระเจ้า

ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง​ นิยายขยายความคิดของพระเอกน้อยเกินไป​ ยิ่งคาแรคเตอร์เป็นพวกเย็นชา​ ไม่พูด ไม่ยิ้มอยู่แล้ว​ ยิ่งทำให้คนอ่านไม่เข้าใจ​ว่าทำไมเรื่องราวเป็นแบบนี้

(คือเราก็ไม่เข้าใจคนอ่านนะ​เอาจริง...หลายครั้งคนแปลก็ช่วยอธิบายแล้ว)


ซีรี่ส์​ 58 ตอนจบ​
(ใน​ mellow  จะเป็น​ 78 ตอน)​
คือเราไม่รู้เลยว่าหลงไปดูได้ไง​ 555​
อ๋อ... นึกออกแล้ว​ ช่วงนี้มันมีโปรโมทภาคสองของชุด​ คือ​ สามชาติสามภพ​ : ลิขิตเหนือเขนย​ แล้วมันทิ่มตาบ่อยๆ​ ใน​ YouTube​ และเดี๋ยว​นี้แค่เปิดค้างก้อเล่นแล้ว... เลยเปิดดู

แน่นอนว่าดูอย่างงงๆ​ แล้วก็ไม่ได้คิดจะดูต่อ​ เพราะรู้สึกว่าไม่อินกะคู่ภาคสอง​ แถมยังยาว​ขี้เกียจตาม

แต่... มันมีเรื่องภาคแรก​ สามชาติสามภพ​ : ป่าท้อสิบหลี่​ ขึ้นมาด้วย​ และจบแล้ว​ เก๊าะเลยเปิดดู... เท่านั้นแหละ

ซีรี่ส์​ทำดีมากๆ​ เก็บรายละเอียดได้ตรงกับนิยาย​ในแทบจะทุกถ้อยคำ​ มีการปรับบท​ให้เนียนมากขึ้น​ ขยี้และขยายให้ดราม่ามากขึ้น
ทั้งพระเอก​ หลีจิิ้ง​ ม่อเยวียน​ เสวียนหนี่ เยียนจือ​ ศิษย์พี่ใหญ่​ พี่รอง​ พี่สิบหกที่ในนิยายแทบไม่มีบท

มีการขยายความผูกพัน​ที่กลายเป็นบุญคุณที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ของพระเอกนางเอกให้นัวกันมากขึ้น

ในซีรี่ส์​เส้นเรื่องถูกบิดให้เกิดเรียงตามลำดับเวลา​ ในขณะที่เวลาเป็นนิยายจะบิดกลับไปมาอยู่บ้างแล้วค่อยมาเฉลยทีละนิด​

มีการปรับบทในส่วนที่คนอ่านเคยเถียงกันวุ่นวาย​ โดยเฉพาะความเกี่ยวพันของเยี่ยหัวและม่อเยวียน​ รวมทั้งความผูกพันของเยี่ยหัวกับซือยิน​ที่นับเป็นชาติที่หนึ่ง​ ซึ่งในนิยายขยายความอย่างรวบรัด​ (งงมั้ย? คืออธิบายน้อยมาก​ กระทั่งมีความคิดเห็นที่บอกต่อกันมาว่าคนเขียนมีการปรับพล๊อตกะทันหัน​ !)​ ​ ต่อด้วยชาติที่สองซึ่งเป็นเยี่ยหัวไทจื่อ​ กับซู่ซู่​ ​(ร่างมนุษย์)​+ป๋ายเฉี่ยน (ร่างเซียน)​ คั่นด้วยชาติที่สามที่เป็นเสนาบดีหลิ่ว​ กับป๋ายเฉี่ยน... ใช้คำว่าคั่นนะ​เพราะตอนจบกลับเป็นเยี่ยหัวไทจื่อ

ในนิยายจะมองเป็น​ 3 ชาติของเยี่ยหัว​
แต่ในซีรี่ส์สามารถ​จะมองเป็น​ 3 ชาติของป๋ายเฉี่ยน​ได้​คือ​ตอนที่เป็นซือยิน​ -​ ซู่ซู่​ -​ ป๋ายเฉี่ยน​
ที่ต่างเพราะในนิยายนั้นซือยินไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเยี่ยหัวเลย​ แถมยังเป็นความสัมพันธ์​ที่เบาบางซ้ำยังผ่านตัวกลางอย่างม่อเยวียนเสียอีก (ข้าเพ้อฝันไปเองข้างเดียวโดยแท้​ ตามที่พระเอกบอก​  555) แต่ในซีรี่ส์​มีแสดงให้เห็นบ้าง​ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญในการยึดมั่นในรักของพระเอก

พอบิดเรื่อง​อย่างนี้นึกถึงตอนที่เรียน experience design แล้ว​ lecturer ให้แต่ละกลุ่ม​ design การนำเสนอใหม่​ คือดีและน่าทึ่ง​ แก่นเรื่องเดียวกัน​ บิดนิดเดียว​ แต่ละกลุ่มไม่เหมือนกันเลย​ 555

ทีมกำกับและทีมบทสุดยอดมากจริงๆ​ ขยายให้เรื่องราวของคนที่เกี่ยวข้องทุกๆ​ ​คนชัดเจนยิ่ง​ มีชีวิตชีวา​ยิ่ง​ พระเอกคือที่สุด​ 555​ ปรับจากที่ไม่อธิบายเหตุผลในการทำเรื่องที่รุนแรงต่อนางเอกนั้น​ แล้วกลายเป็นสามีมโนของผู้หญิงค่อนโลก​ 555​ มีการปรับเรือสองลำ(เยี่ยหัว+ม่อเยวียน) ให้มีน้ำหนักแทบจะเท่ากันอีกต่างหาก
การปรับลดความต้วนซิ่ว​  (Y) ลงไปโขอีกด้วย​ 555

เรื่องนี้เป็นเรื่องแนะนำของทุกคนค่ะคุณ​ 😘


Today is the end of my first step.  

This is just my note, regarding my experience during a meaningful intensive course for me.

Hans, psychologist found EEG since 1927 it cannot claim as a new thing. However, it took me back to my good old days, the combination of my favorite classes, physics-biology-psychology. It always amazing topics since I was 16-17 years old until now, never get bored to learn, play and analyze them.

Thanks for everything which led me there. 

If you crazy enough, maybe you can utilize your electrical power within your body.

(Actually, there is plenty of research and invention in this field not yet brain controlled Microbot. 555)

I'm looking forward to seeing you in the near future Hiro-kun, and Denji-man.



Data cleaning (Artifact removing) using ICA



Butterfly Mapping - Judge the best edge for the target behavior




ERP scalp mapping-Data segmentation






  


Heart Broken but glad to watch it become reality.

https://goo.gl/7XNGpi
MIT พัฒนา AI วิเคราะห์ภาพอาหาร

ขอลอกมาให้ปวดใจตรงนี้เลย

[Manager Online 24th July 2017]

สำหรับใครก็ตามที่นิยมการโพสต์ภาพอาหารลงบนโซเชียลมีเดียนั้น หลายครั้งภาพถ่ายเหล่านั้นก็ไหลไปตามฟีดข่าว และไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากนัก แต่นักวิจัยจากภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ของสถาบันเอ็มไอที (Computer Science and Artificial Intelligence Laboratory หรือ CSAIL) มองว่าภาพถ่ายอาหารจะช่วยให้ปัญญาประดิษฐ์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงเข้าใจในพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ด้วย
       
       โดยในเอกสารที่เผยแพร่โดย สถาบันวิจัยด้านคอมพิวติ้งกาตาร์ (The Qatar Computing Research Institute) ระบุว่า ทีม CSAIL ได้เทรนปัญญาประดิษฐ์ชื่อ Pic2Recipe ให้ดูภาพอาหารต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ AI สามารถทำนายพฤติกรรมการบริโภคของคน และบอกส่วนผสมของเมนูต่าง ๆ ได้
       
       "จากมุมของคอมพิวเตอร์ ต้องบอกว่าฐานข้อมูลภาพอาหารในระดับ Large-Scale นั้นยังขาดแคลน ซึ่งการมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่จะทำให้การทำนายของปัญญาประดิษฐ์แม่นยำมากขึ้น" ดร.ยูซุฟ ไอตาร์ (Yusuf Aytar) ทีมวิจัยจาก CSAIL กล่าว โดยทางทีมวิจัยมองว่า การโพสต์ภาพถ่ายอาหารบนโซเชียลมีเดียที่เคยถูกมองว่าไร้ประโยชน์อาจกลายเป็นข้อมูลชั้นดีในการบอกข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพ และพฤติกรรมการบริโภคได้เลย
       
       ทั้งนี้ ทางทีมได้เข้าถึงเว็บไซต์ด้านเมนูอาหารต่าง ๆ เช่น Food.com เพื่อรวบรวมมาสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ชื่อ "Recipe1M" หรือดาต้าเบสที่มีข้อมูลเมนูอาหารมากกว่า 1 ล้านเมนูพร้อมระบุส่วนผสม แล้วนำฐานข้อมูลนี้มาเทรนระบบ Neural Network เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างอาหารกับส่วนผสมต่าง ๆ
       
       ดังนั้น เมื่อให้ AI ได้ดูภาพอาหาร ด้วยฐานข้อมูลที่มี มันจึงสามารถระบุได้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างในเมนูนั้น ๆ เช่น แป้ง ไข่ เนย โดยในตอนนี้ ทางทีมได้เปิดให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ลองทดสอบ AI ดังกล่าวแล้วผ่านออนไลน์ โดยผู้ที่สนใจสามารถอัปโหลดภาพถ่ายอาหารขึ้นไปให้ AI ลองทายดูได้
       
       ผู้ช่วยศาสตราจารย์คริสโตป แทรตต์เนอร์ (Christoph Trattner) จาก MODUL University Vienna คาดการณ์ว่า ในอนาคต การนำไปใช้อาจอยู่ในรูปของแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ ที่ระบบจะคำนวนให้ว่า สารอาหารที่ได้รับในแต่ละวันนั้นครบถ้วนหรือไม่ หรือว่าไปรับประทานเมนูนี้จากร้านอาหารข้างนอกมาแล้ว จะต้องรับประทานอะไรที่บ้านจึงจะได้รับสารอาหารครบถ้วนทุกหมู่
       
       จุดแข็งของ AI นี้คือการระบุส่วนผสมของขนมเช่น คุ้กกี้ หรือมัฟฟิน แต่สำหรับเมนูเช่น ซูชิ หรือสมูธตี้นั้นยังทำได้ไม่ดีนัก
       
       ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์อย่าง Calum Chace และเป็นผู้เขียนตำราเรื่อง The Economic Singularity กล่าวว่า เป็นการใช้เทคโนโลยี Deep Learning ที่น่าสนใจมาก "นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงทำในสิ่งที่คนทำไม่ได้ แต่มันยังมองโลกในมุมที่ต่างจากเราอีกด้วย เช่น อัลฟาร์โกะ (AlphaGo) ที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการเล่นโกะแบบใหม่ " 

วันนี้ (๒๐ พ.ย. ๕๘) เราได้ฟังเทศน์เกี่่ยวกับแรงบันดาลใจที่ได้รับจากหลวงพ่อปัญญาฯ (พระพรหมมังคลาจารย์) โดยท่านพระเทพปฏิภารกวี วัดประยูรฯ 

ท่านถึงกับกลั้นสะอื้น ด้วยความตื้นตันเวลารำลึกถึงแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ในการทำงานเผยแผ่พระศาสนาของท่าน (ปัจจุบันงานของท่านเน้นการผลิตพระนักเทศน์) เราทึ่งตรงที่...ท่านจดจำได้อย่างละเอียดถึงวัน-เวลา-สถานที่ที่พบกับหลวงพ่อปัญญาครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ! 

เพื่อนๆ เคยเป็นอย่างท่านมั้ยคะ? 


เราเป็นนะ...แม้ไอดอลของเราจะไม่อยู่แล้วก็ตาม 

เลยอยากจะแกว่งสารส้มความคิดตัวเอง เพื่อให้มันตกตะกอนบ้าง ^^

หลักๆ เลยเราว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบช่วยคนอื่นนะ 
ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น 
แต่หลักๆ เลยเพราะว่าเราอยู่ไม่สุข ให้นั่งอยู่เฉยๆ รับจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ใช่นิสัยเรา

ว่ากันตามตรงเราไม่ได้เป็นคนที่มีทรัพย์อย่างเหลือเฟือนัก พูดง่ายๆ ก็ยังปากกัดตีนถีบ แต่เราว่า...ณ ตอนนี้ สิ่งที่เราทำได้ด้วยการช่วยเหลือแรงกาย แรงความรู้ แก่ผู้อื่น เท่าที่เรามีความสามารถ ... ทั้งทีมันอาจจะน้อยกว่าคนอีกมากมายในสังคม

ไม่ได้เพื่อบุญหรืออะไร ... 
แต่เพื่อความสุขของตัวเอง

อาจารย์จิตวิทยาเราเคยบอกว่า "ในโลกนี้ ไม่มีใครทำอะไร โดยไม่หวังอะไร" 

นั่นเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) และแนวคิดนี้ใช้สำหรับการวางเงื่อนไขปรับพฤติกรรมมนุษย์ แต่ด้วยความสงสัยเราเคยถามอาจารย์ว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรคือตัวเสริมแรง (= อามิส = เครื่องล่อ, เหยื่อล่อ) ที่ดีที่สุดของคนนั้นๆ อาจารย์ตอบกลับมาสั้นๆ ให้เราไปหาเอาเอง

น่าดีใจที่ตัวเสริมแรงหลายตัว ไม่ใช่วัตถุ 

น่าดีใจที่มนุษย์ เป็นผู้ที่มีใจสูง เพราะมีหลายคนเห็นว่าการให้คือสิ่งที่ยังโลกนี้ให้อยู่ได้ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า CG, CSR และ "Sustainable Development" ที่จริงมันเป็นจิตสำนึกปกติของความเป็นมนุษย์เลยนะ การสร้างกรอบ หลักการทางการบริหารจัดการเป็นการเอาอะไรสักอย่างมาอ้างให้เราสบายใจว่ามันเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลเท่านั้นเอง   

เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่มากมายที่ใช้ชีวิตแบบอาสา ไม่ว่าจะมาเป็นพักๆ มาแค่ครั้งเดียวแล้วหายไปเลย หรือทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น จากภาพสมัยก่อนที่คนอาสาต้องกินอุดมการณ์มาก่อนเงินทอง หรือเป็นพวก ๕ ย. เดี๋ยวนี้ต่างไปแล้ว

อาสารุ่นใหม่มีความพร้อมแทบทุกอย่างในชีวิต ความสามารถ เงินทอง และความคิดที่ดี อย่างกลุ่มน้องที่เราเจอตอนครูอาสาปีที่แล้ว เพื่อนเราเองที่ทำอาสาต่อเนื่อง หรือรุ่นพี่ภาคเราที่บางคนลาออกจากการงานดีๆ ไปเป็นครูบ้านนอกจริงๆ หลายคนยังทำกิจกรรมอาสาต่อเนื่อง น้องบางคนพ่อแม่มีพร้อม แต่เลือกที่จะไปเป็นครูอยู่ที่ร่มเกล้า ฯลฯ ไม่ต้องเอาบุญหรือเกียรติยศ รางวัลใดๆ มาล่อ เพราะเราขอแค่ได้ทำให้งานพัฒนาประสบความสำเร็จ คนพ้นจากการเป็นเหยื่อของผู้แสวงหาประโยชน์ พ้นจากการเป็นเหยื่อของความไม่มี ความไม่พอของตนเอง ฯลฯ 
นับว่าเป็นโชคของโลกโดยแท้ 

แม้ในตอนนี้...เป็นวาระที่คนไทยสูญเสียที่สุดในชีวิต...กลับกลายเป็นวาระที่โหมกระพือกระแสงานอาสาพัฒนาให้ลุกโชนขึ้นอีก...เราอยากให้กระแสนี้คงอยู่นานๆ 


เราอยากให้กระแสของท่านยังคงอยู่รอบๆ เป็นพลังให้พวกเราบนแผ่นดินเสมอ ดังเช่นที่เป็นมาในอดีต


การรับใช้โลกใบนี้ เป็นเกียรติอย่างหนึ่งของการมีชีวิต... เป็นการตอบแทนบุญคุณแก่ทุกคนที่ทำให้เป็นเรา 
  
เราทำได้แค่ธุลีของพระองค์ที่เดินทางทั่วประเทศไทยเป็นระยะทางไกลกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์

เสี้ยวธุลีของพระพุทธเจ้าที่เดินเท้าเผยแผ่อิสรภาพทางจิต ปลดแอกคนในอินเดียจากความทุกข์ทรมาน 


เราก็ยังมีมิชชั่นเล็กๆ ไปอาสาทำโน่นทำนี่ตามต่างจังหวัดตามสโลแกน Explorer ของเรา 
แต่ในขณะเดียวกันในเมื่อมีโอกาส ที่ใกล้ๆ อย่างวัดชลประทานฯ ที่่ๆ แม้จะดูเหมือนมีญาติโยมมากมาย ก็ยังมีจุดที่ขาดกำลัง เราก็ต้องทำหน้าที่พุทธบริษัทเต็มตามกำลัง  
เป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ที่ได้มีส่วนรับใช้พระศาสนาในทางที่ตัวเองทำได้


ขอบพระคุณทุกสิ่งทุกอย่าง...ที่ส่งโอกาสในการพัฒนามานะคะ

เนื่องในวันพ่อ ๕ ธันวาคม ที่จะถึง...ขอขอบคุณพ่อบังเกิดเกล้าของเราด้วย
ที่ทำให้เราเกิดมา เลี้ยงดูและเพาะเมล็ดพันธุ์ในการทำงานอาสาให้กับเราตั้งแต่จำความได้
เพราะพ่อไม่ได้ร่ำรวย สิ่งที่พ่อทำได้คือช่วยอย่างอื่น ด้วยความรู้ ด้วยกำลังที่มี
จนถึงเดี๋ยวนี้ พ่อก็ยังทำ...ก็ยังไปถวายความรู้เณร ตอบแทนที่เคยได้บวชเรียน 
ไปเล่าธรรมะให้ผู้ต้องขังตามโอกาส เผื่อจะเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่พวกเขา
กุศลอันใดที่เราได้ เรายกให้พ่อและแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เราตลอดมาด้วยแล้วกัน ^^