๒๐ ต.ค. ๒๕๕๙ เลยสัตวารมา ๑ วัน
ย้อนรำลึกถึง ๗ วันที่แล้วหลังจากมีข่าวลือไม่ค่อยจะดีมาต่อเนื่องหลายเดือน เราเลือกที่จะไม่เชื่่อว่าจะเป็นจริง ซึ่งดูเป็นการเห็นแก่ตัวเพราะเรามองแต่ในมุมของตัวเอง ไม่มองในมุมของพระองค์ท่าน พวกข่าววงในก็ไวกันเสียเหลือเกิน (เชื่อแล้วว่า "ใน" มากๆ) เช้าวันนั้นเรายังพูดกับน้องว่า สมัยก่อนเคยคิดว่าถ้าต้องเกิดเหตุการณ์แบบในเรื่องสี่แผ่นดิน เราคงเป็นหนักมากกว่านี้ แต่ ณ พ.ศ.นี้ เราว่าเรารับได้มากขึ้นแล้ว หลังจากนั้นก็ไปประชุมกับลูกค้า ใส่บาตร เลื่อนการประชุมเล็กน้อยเพื่อไปสวดมนต์รวมกัน บ่ายๆ มีข่าวเข้ามาอีก มี caption ข่าวจากต่างประเทศส่งมาในกรุ๊ปไลน์ พ่วงด้วยข้อมูลสารพัด จำได้ว่าโกรธมาก...เลือกที่จะไม่เชื่อแม้ว่าแหล่งข่าวคือเพื่อนที่เคยสอน/สอนและส่งลูกที่ ร.ร.จิตรลดาส่งข้อมูลมาให้ดู...และต้องทำเหมือนคนไทยอีกหลายคนในประเทศนี้ คือเลือกที่จะไม่แสดงอาการ ณ ตอนนั้น...จนกระทั่งแถลงการณ์...
ช่วงนี้มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น เพราะต้องเขียนบทความ และตรวจทานแนวคิดของพระองค์บางประการที่เคยรับรู้ว่าถูกต้องหรือไม่เพื่อใช้ในการทำงาน บ้างก็เป็นข้อมูลใหม่ (สำหรับเรา) บ้างก็เก่าและเคยรู้มาแล้ว เราว่าเป็นความกรุณาของฟ้า (หรือกรรมที่สั่งสมมา) อย่างถึงที่สุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระกรุณาต่อประชาชนชาวไทยยอมรับการสืบสันตติวงศ์
พ่อเล่าว่า สมัยพ่อบวชได้เคยรับพระราชทานผ้าพระกฐินจากพระหัตถ์ พ่อปลื้มใจมาก และต่อเมื่อสึกแล้วก็เป็นธรรมเนียมที่จะต้องพาลูกกับภรรยาไปเดินงานวันชาติ เฝ้ารอรับเสด็จตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ตัวพ่อเองแม้เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแต่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าหลายครั้งในวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เนื่องในงานพระราชทานพัดยศแก่เจ้าคุณต่างๆ ... เรื่องเหล่านี้ถูกฝังลงในตัวเรามาเป็นเวลานาน ... นานจนใครว่าในหลวงนี่ของขึ้นยิ่งกว่าด่าพ่อเสียอีก
เราเป็นพวกสุดโต่ง เราดูทีวี เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจมาตั้งแต่เด็ก เราได้รางวัลเรียงความเรื่องในหลวงตั้งแต่ ป.2 แน่นอนว่าเราเทียบไม่ได้กับอัจฉริยะหลายๆ คนในประเทศ แต่เรามั่นใจว่าเรา "เก็บความ" เกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรของพระองค์ได้ไม่น้อย
ณ จุดนั้นเราเข้าใจคำว่า "เหนือคน" พระฉวีของพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระชนม์มายุประมาณ 62-63 ปีในตอนนั้นผ่องใสยิ่งกว่าคนบนดินอย่างเรามากนัก ยิ่งรวมกับพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงโปรดคนโดยทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะให้ร้ายหรือรักพระองค์ เรารู้สึกเลยว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยสารพัดธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ไม่เคยแบ่งแยกเขา-เรา หรือศาสนาใดๆ อีกด้วย
เราเคย Anti หนังสือหลายเล่มที่เสนอแง่มุมตรงข้ามความเชื่อของเราด้วยตั้งแต่ปี 1-2 วิวาทะกับเพื่อนในเฟส ที่สงสัยในมูลนิธิชัยพัฒนา เราเข้าใจนะว่าทุกคนมีสิทธิในการเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร และมีสิทธิเห็นต่าง เข้าใจว่าถามเพราะต้องการรู้ข้อมูล เราก็จัดข้อมูลให้ แต่ก็แสดงจุดยืนไปด้วยว่าเราเลือกข้างมาตั้งแต่เกิด... และเราก็เคยแรงถึงขนาดประกาศกับเพื่อนๆ ว่าจะไม่รับปริญญาบัตรหากไม่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ ...ดีว่าโชคเป็นของเรา
เราเคยอ่าน...น่าจะหนังสือเรียนภาษาไทย ม.ต้น เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สมเด็จพระราชินีฯ ตามเสด็จเยือนออสเตรเลีย วันนี้ได้อ่านอีกครั้ง [http://news.sanook.com/2087026/] ไล่ๆ กับที่ได้ดูคลิป [The Soul of Nation ของ BBC] และ [http://fccthai.com/items/1487.html] คิดว่าเป็นงานง่ายหรือในการทำให้คนเข้าใจและตระหนักในการมีอยู่ของประเทศหนึ่ง ขนาดตอนนี้ แม้แต่รุ่นเราบอกใครๆ ยังคิดว่า "ไทย" คือ "ไต้หวัน" และยังรับรู้แต่ในส่วนที่พวกเขาอยากจะเชื่อ
พระองค์ต้องทรงอดทนมากแค่ไหนในการสร้างประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโลก จากประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จัก หรือรู้จักในฐานะประเทศเล็กๆ ที่เป็นคนผิวเหลือง ด้อยพัฒนาและขยับมาเป็นกำลังพัฒนา มีธรรมเนียมแปลกๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจ และบางคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ให้พวกเขาเข้าใจถูกขึ้น
สารคดีหรือเรื่องราวที่สื่อเผยแพร่ในประเทศและต่างประเทศหรือต่างค่าย ล้วนมีความแตกต่างกันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย และสื่อทุกสื่อมีหน้าที่เสนอข้อมูลข่าวสารจาก "มุมมอง" หรือ "วัตถุประสงค์" บางอย่างอยู่แล้ว นอกจากนี้ ด้วยความเป็นคนย่อมต้องติดสิ่งที่เรียกว่า "อคติ" ทั้งนั้น ไม่ว่าจะโดยความรู้สึกถูกชะตา หรือไม่เพราะอาจเคยมีกรรมร่วมกันมา ก็ต้องวางใจเป็นกลางแล้วคิดเสียว่า ทุกคนมี "Paradigm" ที่ติดตัวมาต่างกัน บางครั้ง การตอบโต้ด้วยการแก้ข่าว ชี้แจง ฯลฯ อาจไม่ดังเท่ากับการ "ทำให้เห็น" ซึ่งนั่น เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาตลอดพระชนม์ชีพ
ประเทศไทยเปลี่ยนจากยุคที่มีอัตราผู้ไม่รู้หนังสือกว่า 70% เมื่อครั้งทรงขึ้นครองราชย์ เป็นวันที่ผู้ที่จบต่างประเทศและ high degree เต็มไปหมด ผลงานของคนไทยในระดับโลกมีมากขึ้นทุกที คนไทยมีความสามารถในการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องรอให้พระมหากษัตริย์มอบให้เหมือนแต่ก่อน ท่ามกลางยุคที่อาจมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยกลวิธีนานา โดยเฉพาะการขู่กันด้วยขีดความสามารถของขีปนาวุธ เราคิดว่าคงเป็นการเหมาะแก่สมัยแล้ว ที่ประเทศไทยจะมีกษัตริย์ผู้เป็นนักรบอีกครั้ง
ขอพระองค์ผู้สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์และพระสยามเทวาธิราช คุ้มครองประเทศไทยด้วยเทอญ
No comments:
Post a Comment