คัดลอกจาก Note ใน facebook มารวบรวมไว้ตรงนี้
---------------------------------------------------------------
ปฏิบัติธรรมแล้วทำไมยังทุกข์ ??
November 30, 2012 at 7:40pm
ต้องรีบเขียนไว้แต่เนิ่นๆ 555 ปกติจะผัดผ่อนจนลืมไป
เอาไว้อ่านเองกะน้องเล็กขำๆ ดีกว่า--ให้กล้าด้วยยยย
---ปี 2006 เข้าปฏิบัติยาวๆ กับแม่ครั้งแรก มีผู้ชายคนนึง ไปถามพระอาจารย์ว่า ทำไงจะหายทุกข์?
พระอาจารย์ตอบอย่างตรงที่สุดว่า "กำหนดรู้...หน้าที่ของคนต่อทุกข์คือกำหนดรู้" ไม่มีอย่างอื่น
ผู้ชายคนนั้น ท่าทางจะมาด้วยอาการอกหัก (สาเหตุประมาณ 80% ที่ทำให้คนเข้าวัด 555)
ทำหน้าไม่เข้าใจ --อย่างยิ่ง-- พี่เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จำได้แค่จากตัวหนังสือที่อ่านๆ มาเท่านั้น
--พี่เข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่พ่อเป็นมหาเก่า ตามแม่ไปนั่งสมาธิบ้าง แต่ก็ไม่ได้อิน
และไม่ชอบนั่งสมาธิด้วย เพราะกลัวในสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพื่ออะไร?
เรื่องความรู้ทางปริยัติ จัดได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของพระอาจารย์ทั้งหลายมาก มิต้องสงสัย
แต่...ด้วยความเป็นคนที่มีสันดานขี้สงสัย และไม่เชื่อในอะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ก่อน
อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ (ของท่านพุทธทาส) ทีไร รู้สึกเกลียดตัวเองทุกที เพราะทำไมชั้นเลวงี้วะ 5555
โคตรรักสนุกเลยอ่ะ ตรงข้ามกับบางคนพอสมควร แต่ก็ทำบุญบ้าง อย่าถามเรื่องปฏิบัติบูชา
เข้าปีหนึ่ง เดินไปชมรมพุทธ เฮ้ย...ไม่ใช่ละ หนูขอลาค่ะพี่
พี่เป็นคนดีเกินไปสำหรับหนู หนูอยู่ในที่แห่งนี้ไม่ได้
พี่เป็นคนดีเกินไปสำหรับหนู หนูอยู่ในที่แห่งนี้ไม่ได้
บ้าบอขนาดชั้นเนี่ยนะ สุดท้ายก็มุ่งมั่นกะการทำงานพิเศษ
รู้จักยุวพุทธฯ ครั้งแรกตอนลง วิชาธรรมวิทยา (ที่เพื่อนบางคนบอกว่าไม่รู้จัก
ได้ไงฟระ มันเป็นวิชาเลือก 2 จาก 4 วิชาทุกคณะ) รู้สึกว่า อ๊ะ แนวนี้ได้อยู่ แนวที่เค้าเรียกว่าสติปัฎฐาน)
จริงๆ ก็เป็นแบบเดียวกับที่วัดมหาธาตุที่แม่เคยพาไป และพ่อเค้าสำนักนี้นั่นแหละ เลยคุ้นเคย
ชอบนะ คือ ณ จุดนั้นรู้สึกดี ทำอะไรแล้วกำหนดสติตลอด ถึงมันจะเป็นการ "เพ่ง" ก็เหอะ ไม่รู้อ่ะ
รู้แต่ไม่มีอิทธิปาฏิหารย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ภพภูมิอื่นเป็นพอ กลัว แต่ก็ไม่ได้จำอะไรจริงๆ
ชีวิตก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนเกิดความทุกข์รุมเร้า มันไม่ใช่เพราะความรักเรื่องเดียว มันหลายเรื่องจัด
เลยไปปฏิบัติธรรมที่ตัดสินใจเองครั้งแรก ปี 2003 มั้งนะ ตอนที่อยู่กับเล็กแหละ ไปตอนสงกรานต์
เข้าวันแรกก็อยากกลับละ มันร้อน 555
แม่ชีบอกให้อดทน 3 วันเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ก็แค่ได้ประสบการณ์ใหม่ ก็ดีนะ คิดแค่นั้น
การปฏิบัติธรรมไม่เห็นช่วยอะไรเลย ก็ยังทุกข์อยู่ จริงๆ แล้วไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง แต่ด่วนไปสรุป และตีตราไปเรียบร้อยแล้ว
แค่สงบได้ชั่วคราว แต่ก็อยากไปอีกนะ ...เมื่อไรไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่ธรรมกายเป็นพอ
จนเกิดความทุกข์รุมเร้าหนักๆ อีก แล้วก็ใช้จิตวิทยาวิเคราะห์ก็แล้ว ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ก็เลยคิดว่าคงเป็น "กรรม" แต่ไม่ชอบ ทำไมคนเราต้องยอมรับกรรม เราไม่มีวิธีแก้เหรอ??
งั้นก็ไม่ต้องทำไรแล้ว เกิดมาก็รอรับกรรมอย่างเดียว เป็นชีวิตที่ "ง่อย" ที่สุด ไม่ใช่่อ่ะ!!
มันเป็นธรรมจัดสรรมั้ง อยู่ๆ ก็เห็นหนังสือ "กรรมและการอยู่เหนือกรรม" ของท่านพุทธทาส (อีกแล้ว)
วางอยู่ในชั้นหนังสือในห้องที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็น พ่ออาจจะลืมเอามาวางไว้
จำได้ว่าพออ่านแล้ว ทำให้สว่างมาก และรู้สึกว่า ยูเรก้า 555
กรรมเก่าคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และธรรมในส่วนที่เป็นกลไกการเกิด
วิธีทำให้กรรมใหม่เปลี่ยนไป คือการไปเปลี่ยนวงจรของมันในบางจุด
ย้ำ ว่าแก้ได้แค่บางจุด เท่านั้น เพราะพอเกิดเป็นภพมาแล้วมันไหลเลย แก้ไม่ได้ละ
นั่นเป็นเหตุผลว่าคนเราปฏิบัติธรรมแล้วทำไมยังทุกข์ เพราะส่วนที่มันแก้ไม่ได้ มันมีอยู่
และที่พระอรหันต์อยู่ในโลกแต่ไม่ทุกข์ เพราะ ทำทุกอย่างเป็นกริยา แค่สักว่า...
แนวทางของท่านพุทธทาส คือการทำอาณาปานสติ เพราะมีอยู่ในหลายสูตร รวมทั้ง
มหาสติปัฏฐานสูตรด้วย แต่ทำยากนะ คิดก่อนเลย ทำไงอ่ะ สักว่าอ่ะ คิดเอาเหรอ?? 555
คิดไปคิดมา แนวทางที่เคยปฏิบัติมาบ้าง ก็บอกว่า ทำงี้สิ ลองทำดูเองก่อน
กำหนดมันทุกอย่าง ก็รู้สึกดีนะ เลยตั้งใจว่าอยากไปปฏิบัติธรรมจริงจังแล้ว
แต่ไม่ได้ไปสักทีเพราะพี่ติดงาน
เลือกที่ทริสนี่ เป็นการเลือกที่ถูก ตรงที่เปิดโอกาสให้พี่ได้ปฏิบัติได้เต็มที่ เลือกที่ไปได้หลายที่
ทั้งวัดปัญญานันทาราม วัดมหาธาตุ เจอกัลยาณมิตรดีๆ หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การมาทำงานที่ทริส ทำให้เจอพี่จอยบงกช น้องปิงวราภรณ์ พี่ตูนอนรรฆิยา ^^
ที่เป็นเรื่องบังเอิญมาก ว่าเราไม่ได้คุยกันก่อนไม่มีเฟสให้รู้ว่าชอบแนวนี้ พอรู้ว่าลาไปปฏิบัติธรรม
เลยได้คุยกัน และเจ้ได้แนะนำสถานที่และพระอาจารย์ให้ ปิงกะพี่ตูนได้ไปพร้อมๆ กันมาสองรอบป่ะ ^^
ไม่รู้จะขอบคุณยังไงหมด แต่มันยอดมากค่ะเจ้
ถ้าเลือกงานวิจัยในบริษัทต่างชาติเสียแต่ตอนนั้น อนาคตอาจจะเปลี่ยนไปอีกรูปแบบนึง
ได้อย่างก็เสียอย่างนะ สัจธรรม
ตั้งแต่นั้นมาพี่ก็ได้ทั้งเวลา และได้พบที่ปฏิบัติที่ดีๆ ตลอดมา
การแสวงหาคำตอบในวิธีการที่ถูกต้องก็ก้าวหน้าไปตามลำดับ ได้เจอหนังสือดีๆ ได้เจออาจารย์ดีๆ
ได้เจอเพื่อนร่วมหนทางการปฏิบัติดีๆ ไอ้การทำความเพียรทางจิต มันก็มีวนๆ บ้าง
เราก็ "คน" "วน" อยู่ในโลกนี้อยู่ ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่มีการพ้นทุกข์นะอย่าลืม 555 ก็ต้องมีทุกข์สิ
ณ ตอนนี้ พี่ก็เหมือนคนที่อยู่ใน matrix 555 พยายามถอดรหัสอยู่ให้หลุดออกไปได้
แต่แหม...source code มันเยอะจัด และเวลาปฏิบัติจริง ยิ่งกว่าถอดทีละบรรทัด
มันถอดกันทีละอารมณ์ ถ้ากำหนดไม่ถูก มันก็คือไม่คลิ๊ก มันจะรู้สึกได้ว่าไม่คลิ๊กอ่ะ
แต่ถ้าจะถอดให้ผ่านทั้งชุด มันก็ต้องให้ครบทุกอารมณ์ ผิดไม่ได้สักอัน!!!
ไม่ยาก เพราะเรารู้ภาษาทุกคน เป็นภาษาเบสิก 555 และก็ไม่ง่ายเลยเนอะ
เลือกวนได้ 4 ฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่บังคับ แต่เกิดไรขึ้นมาต้องกดให้ถูก
และทัน เหมือนเกมตีหัวตัวตุ่นขั้น advance อ่ะ ^_^
อ๊ะ อ๊ะ พยายามจะกดให้ทันจนหมด (ตามประสาคนโลภ อยากผ่านเร็วๆ)
ก็ผิดนะฮ๊า เครียด ปวดหัวกันเลยทีเดียว
หลายต่อหลายครั้ง ด้วยความที่มันอะไรฟระ ทำเมื่อไรจะเสร็จเนี่ย!!! ก็เบื่อ ขี้เกียจ
ขอพักก่อน วางข้างแทะ แวะข้างทาง ทักษะการถอดรหัสมันจะเสื่อมไปด้วย
แถมร่างกายมีแต่จะเสื่อมไป 36 ยังขนาดนี้ ถ้าสัก 72 แล้วจะขนาดไหน -_-"
"สนุกดีนะ" 5555 การหาทางสายกลางไปด้วย และความเพียรไปด้วยตลอดเนี่ย มันยากมาก
ณ รอบก่อนหน้านี้ สองปีก่อน รู้สึกว่า แหม...การพ้นทุกข์มันก็แค่ ...
"การเพิกถอน หรือ ทวนกระแสของ Self Concept" ตามประสาของคนที่เรียนจิตมา
แค่คิดก็รู้สึกว่า ...อืม มันก็คงไม่หนักเนอะ แต่ไม่หนุกอ่ะ เพิก self concept แล้วการรับรู้มันก็จะชืดๆ ดิ
เอาไว้ก่อนก็ด่ะ 555 ประมาทอีก ไม่ประมาทธรรมดา เข้าขั้นมืดสำหรับคนปฏิบัตินะ ได้เรื่องเลยทีเดียว
สมรรถภาพในการปฏิบัติ ความว่องไวของตัวสติและสัมปชัญญะ ลดลงอย่างรุนแรง !!!!!!!
ไอ้กุ๊กเอ๊ยยยย โง่แล้วอวดฉลาด 555 ถ้ามันง่าย ท่านคงไม่เอาสักกายทิฎฐิไว้ที่สังโยชน์ขั้นแรกหรอก
วิจิกิจฉา กับ สีลพตปรามาส ยังเป็นขั้นต่อไป ละเอียด และเนียนกว่าเยอะ จริงๆ
ที่เขียนนี่ไม่ใช่ว่าเพิกสักกายทิฎฐิได้แล้วนะ ยังไม่ได้ทั้งหมดแหละ แต่รู้สึกว่า
พี่วิจิกิจฉาเนี่ย แกแรงกว่า แกมาเนียนๆ แบบเราทำถูก แกก็ยังทำให้เรารู้สึกสงสัย ว่าถูกป่าวหว่า แล้วก็ผิดอีก
คุณพระ แล้วพี่สีลพตปรามาส แบบที่เราคิดว่ามันง่ายๆ แค่การแปลตามตัวอักษรว่า "การงมงายในศีลพรต"
มันจะแรงขนาดไหนนะนี่??? หนูกลัวแล้วค่ะพี่
วกมาเรื่องนี้หน่อย ทำไมเอาทุกข์ออกมาด้วย???
--มันเป็นสัญญา (ความจำ) เก่าๆ และ สังขาร (การปรุงแต่งของจิต)
เห็นมะ มันเป็นเรื่องของ "ขันธ์" ทำได้แค่ "กำหนดรู้" เท่านั้น
จริงๆ ทุกคนก็มีสิทธิเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
ต้องปล่อยวางอย่างเดียว (อันหลังนี้เป็นความคิด ตรึกเอาแล้วนะ 555 ไม่ใช่การกำหนดรู้)
พระอาจารย์พูดเรื่องประโยชน์ของการฝึกสติขณะเกิดอุบัติเหตุด้วย นึกถึงน้องเล็กเลย
หลวงพ่อปราโมทย์ เขียนไว้เมื่อปี 2542
ง่ายต่อการทำความเข้าใจดี
อีกอันของ David R Loy ที่สนับสนุนกันดี
เมื่อมาถึงจุดนึงที่การปฏิบัติธรรมเป็นเหมือนการลอกหัวหอมของตัวตนออกทีละนิดๆ
เพราะจริงๆ แล้วการปฏิบัติธรรมก็คือ "การทวนกลับ" ของการก่อร่างสร้างตัวตนขึ้นมาในโลก
เพราะตอนเราเกิดมาเรามีขันธ์ติดมาชัด (อันนี้ชัดเจนจากการเห็นหลาน)
แต่ความเป็นตัวตนจะค่อยๆ เกิดขึ้น ทุกวันๆ
จนกระทั่งเรากลายเป็นนั่นนี่...กลายเป็นกอล์ฟ กลายเป็นไกด์
เพราะตอนเราเกิดมาเรามีขันธ์ติดมาชัด (อันนี้ชัดเจนจากการเห็นหลาน)
แต่ความเป็นตัวตนจะค่อยๆ เกิดขึ้น ทุกวันๆ
จนกระทั่งเรากลายเป็นนั่นนี่...กลายเป็นกอล์ฟ กลายเป็นไกด์
แล้วก็จะกลายเป็นกอล์ฟ ต้องมีลักษณะยังไง มีตัวตนแบบไหน?
สุดท้ายเราทนได้จริงๆ เหรอ กับการที่จะไม่เหลือตัวตนบนโลกนี้
กลายเป็น Matrix นึงบน Universe
กลายเป็น Matrix นึงบน Universe
---ถ้าท่านเปลื้องกระบวนการทางจิตใจและทางกายเหล่านั้นออกไป
มันก็เหมือนปอกหัวหอมออกทีละชั้นๆ เมื่อไปถึงชั้นในสุดจะมีอะไรเหลือหรือ?
ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเมล็ดหรือสิ่งอื่นใดอยู่ที่แกนเมื่อชั้นในสุดถูกปอกออก
แล้วมีอะไรผิดในเรื่องนั้นหรือ? หามีไม่
ปัญหาพื้นฐานคือ เราไม่ชอบการไม่เป็นอะไรสักอย่าง
แกนที่กลวงของคนเรา ย่อมเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว
ไม่มีสิ่งใดหมายถึงไม่มีสิ่งใดที่จะหมายได้หรือยึดถือได้---
แกนที่กลวงของคนเรา ย่อมเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว
ไม่มีสิ่งใดหมายถึงไม่มีสิ่งใดที่จะหมายได้หรือยึดถือได้---
David R. Loy, 2008 Money Sex War Karma.
คารินะ ควรอ่านนะนี่ นึกถึงร่างหนังสือทฤษฎีการปอกหัวหอมของเธอเลย
-------------------------------------------
ให้กลับไปเขียนอีก ก็เขียนไม่ได้นะ LOL
No comments:
Post a Comment